Thursday, July 19, 2012

ตัวอย่างโครงสร้างการพูดในงานต่างๆ

   ต่อไปนี้เป็นเพียงแนวทางโครงสร้่างการ พูดในงานลักษณะต่างๆ เพื่อให้ท่านได้ศึกษาเป็นข้อมูลในการวางแผนการทำหน้าที่พิธีกร ซึ่งผู้เขียนได้เรียงตามลำดับขั้นตอนจากเริ่มต้นจนสิ้นสุดในแต่ละงานเพื่อ ง่ายแก่การเข้าใจ


การพูดในงานแต่งงาน
1) เชิญคู่บ่าวสาวบนเวที
2) เชิญบิดา-มารดาของคู่บ่าวสาวขึ้นบนเวที
3) เชิญผู้สวมมาลัยมงคลขึ้นสวมมาลัยแก่คุ่บ่าวสาว
4) เชิญประธานในงาน(ซึ่งโดยปกติมักจะเป็นท่านเดียวกับข้อ 3) กล่าวอำนวยพร
5) เชิญเจ้าภาพกล่าวคำอวยพร(อาจจะเป็นบิดา-มารดาของฝ่ายใดก็ได้ หรือบางงานจะมีผู้ใหญ่ซึ่งคู่บ่าวสาวเชิญไว้เป็นผู้กล่าว
หมายเหตุ โครงการพูดจาอาจยืดหยุ่นตามใจเจ้าของงาน แต่ควรแนะนำเจ้าภาพว่าไม่ควรยืดเยื้อ หากมีการตัดเค้กต้องดำเนินการหลังคู่บ่าวสาวกล่าวจบ

การพูดในงานเกษียณอายุ
1) เชิญผู้เกษียณอายุขึ้นบนเวที
2) เชิญประธานในงานกล่าว(หากมีผู้พูดมากว่า 1 ท่าน ให้พูดต่อจากประธานเลย)
3) เชิญผู้มอบดอกไม้/ของขวัญทำพิธีมอบ
4) เชิญผู้เกษียณอายุกล่าวขอบคุณ
หมายเหตุ หากมีพิธีกรอื่นใดเป็นพิเศษ พิธีกรต้องปรับและสอดแทรกให้เหมาะสมแต่โครงสร้างที่นำเสนอนี้เป็นเพียงคร่าวๆ

การพูดในการแนะนำผู้อื่นพูดอื่น (ผู้อภิปราย/ผู้บรรยาย/วิทยากร)
1) หากมีการกล่าวประวัติของผู้ที่จะพูด ควรอ่านประวัติก่อนอย่าเพิ่งเอ่ยชื่อ-สกุล เมื่ออ่านจบจึงอ่านจบจึงเอ่ย ทั้งนี้เพื่อเป็นการเน้นความสำคัญแก่ผู้นั้น และยังเป็นช่วงให้ผู้ฟังปรบมือต้อนรับ
2) หากกรณีเป็นพิธีกรในการอภิปรายควรแนะนำเฉพาะผู้ดำเนินการอภิปรายเ่ท่านั้น เพราะหน้าที่แนะนำองค์อภิปรายอื่นเป็นหน้าที่ของผู้ดำเนินการอภิปราย ยกเว้นผู้ดำเนินการอภิปรายร้องขอ
3) เมื่อผู้พูดทั้งหลายพูดจบ ไม่ควรพูดว่า “ขอเชิญท่านปรบมือให้แ่ก่ท่านวิทยากรอีกครั้งค่ะ(ครับ)”ไม่ แต่พิธีกรควรพูดเพียงว่า “ขอบพระคุณค่ะ(ครับ)” แล้วปรบมือนำทุกคนก็จะปรบตามจะดูดีและเป็นธรรมชาติกว่า

การพูดในงานฌาปนกิจศพ
1) กรณีเป็นการพระราชทานเพลิงศพ จะมีลำดับขั้นตอนการพูดค่อนข้างตายตัว กรุณาดูเพิ่มเติมท้ายเรื่อง
2) กรณีงานฌาปนกิจศพ จะมีโครงสร้่างการพูด ดังนี้
2.1 กล่าวประวัติผู้วายชนม์
2.2 เชิญชวนให้ยืนไว้อาลัย
2.3 กล่าวนิมนต์พระสงฆ์ขึ้นพิจารณาผ้าบังสุกุล
2.4 กล่าวนิมนต์พระสงฆ์ขึ้นประชุมเพลิง
2.5 กล่าวเชิญฆราวาสขึ้นประชุมเพลิง
2.6 กล่าวขอบคุณผู้ร่วมงาน

โครงสร้างการพูดมีลักษณะหลากหลาย บางงานอาจจะมีลักษณะเฉพาะตัว แต่โดยส่วนใหญ่จะมีหลักการเีดียวกัน จึงขอนำเสนอเพียงบางตัวอย่างเท่านั้น

ประสบการณ์ในการเป็นพิธีกร


คน เราเมื่อทำอะไรแล้วประสบผลสำเร็จ แม้แต่เป็นเรื่องเล็กๆ เราก็ต้องภูมิใจในตัวเองไว้ก่อน เพราะมันจะเป็นการสร้างกำลังใจที่ดีให้กับตัวเอง และเป็นการคิดในแง่บวก (positive thinking) ทำให้เราไม่ท้อถอยเมื่อเจออุปสรรคต่างๆ คะ
เมื่อ ช่วงเช้าของวันที่ 10 มีนาคม 2551 ดิฉันก็มาทำงานตามปกติเหมือนอย่างทุกวัน พอมาถึง ปุ๊บ หัวหน้าของดิฉัน หรือ พี่แป๊ด (ที่ทุกท่านคงรู้จักกันดี) ก็พูดขึ้นปุ๊บว่า "บีวันนี้เป็นพิธีกร ด้วยนะ" ดิฉันก็คิดในใจทันที "ซวยแล้วเรา ยังไม่ได้เตรียมเป็นพิธีกรมาเลย อืม...เมื่อวานก็ลืมถามพี่เค้าด้วยว่าจะให้เราเป็นพิธีกรหรือเปล่า" แต่ก็ได้รับปากพี่เค้าไป เพราะคิดว่ายังงัยเราก็ต้องทำให้ได้ (The Show must go on) หลังจากนั้น ก็เลยรีบหยิบตัวโครงการฯ เพื่อจะร่างคำกล่าวเปิด และก็ฝึกพูดอีกนิดหน่อย เพราะมีเวลาไม่มากนักคะ

ก่อนอื่น ก็ขอเล่าความเป็นมาซักนิดนึงก่อนนะคะ เพื่อให้ทุกท่านไม่งงไปมากกว่านี้ คือ วันที่ 10 มีนาคม 2551 เวลา 13.00 - 16.00 น. เป็นวันที่ คณะวิทยาศาสตร์ ได้กำหนดให้มีเวทีเล่าสู่กันฟังในหัวข้อ " การจัดการความรู้กับการจัดการชุมชน ของ อบต.ท่าข้าม" เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่ได้ไปศึกษาดูงาน ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์จากตัวแทนกลุ่มที่ไม่ได้ไปศึกษาดูงานที่ อบต.ท่าข้าม คะ ซึ่ง ในวันนั้น ทางคณะวิทยาศาสตร์ ก็ได้เชิญท่านนายก อบต.ท่าข้าม มาร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย ซึ่ง ดิฉันรับหน้าที่เป็นพิธีกรในหลักสูตรนี้ (อย่างที่กล่าวไว้ตอนเริ่มต้น)

สำหรับ บรรยากาศของกิจกรรมในวันนั้นก็เป็นไปด้วยความสนุกสนานมาก เพราะตัวแทนของแต่ละกลุ่มที่ได้ไปศึกษาดูงาน ต่าง Present กันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะ กลุ่มที่ 1 ซึ่งตัวแทนภายในกลุ่มจะประกอบด้วย คุณธนทรัพย์ฯ , คุณจีราณีฯ และ คุณจุรีรัตน์ฯ ซึ่งแต่ละคน บอกได้เลยว่าพูดเก่งๆ กันทุกคน โดยเฉพาะคุณธนทรัพย์ฯ คะ ซึ่งทำหน้าที่ เป็นนักประชาสัมพันธ์ ของคณะวิทยาศาสตร์ เป็นคนที่พูดเก่ง และพูดได้เป็นธรรมชาติมาก (อยากพูดเก่งเหมือนพี่เค้ามั่งจัง) ทำให้บรรยากาศภายในงานมีแต่ความสนุกสนาน ในส่วนของท่าน นายก อบต.ท่าข้าม ดิฉันก็ประทับใจท่านเป็นอย่างมาก เพราะท่านได้ให้แง่คิดดีๆ เกี่ยวกับการจัดการความรู้ไว้หลายแง่คิด พอจะสรุปได้ดังนี้นะคะ
- ท่านบอกว่า ที่ อบต. ท่าข้าม นั้น ท่านบริหารงานแบบที่ให้ความสำคัญกับประชาชนทุกคน ทุกคนเสมอภาคต่อกัน และท่านก็เป็นคนทำงานแบบจริงจัง ไม่ใช่ทำงานแบบเรื่อยๆ เช้าชาม เย็นชาม โดยท่านให้เหตุผลว่า นายก อบต. มีวาระการทำงานแค่วาระละ 4 ปี ถ้าทำดีก็อาจจะได้เลือกให้เป็นนายก อบต. ต่อ หรือ ถ้าทำไม่ดีก็อาจจะไม่ได้รับเลือกมารับหน้าที่ต่อไป ดังนั้น ใน 4 ปี นี้ ท่านจะต้องรีบพัฒนา อบต. ท่าข้าม ให้พัฒนาในเรื่องต่างๆ ให้ได้ ซึ่งเมื่อได้ยินท่านพูดแบบนี้แล้ว ดิฉันก็เกิดความประทับใจในตัวท่านมาก เพราะท่านเป็นคนที่ลุยกับงาน จริงจัง และเป็นผู้นำที่ดีของประชาชน คงเป็นเพราะแบบนี้ จึงทำให้ท่านได้ใจประชาชนไปเต็มๆ จนได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง นายก อบต. ท่าข้าม 3 วาระด้วยกัน จึงทำให้ดิฉันนึกกลับไปว่า ทำมัย อบต. ที่บ้านของดิฉันเอง ถึงไม่พัฒนาเหมือนที่ อบต. ท่าข้ามบ้าง ทั้งๆ ที่ก็อยู่ไม่ห่างไกลกันเลย ถ้า อบต. ที่บ้านของดิฉัน เข้มแข็งให้ได้อย่าง อบต.ท่าข้ามสักครึ่งนึงก็คงจะดีไม่น้อย.....(แหะๆๆ ว่าบ้านเกิดตัวเองซะแว้วววว)

- แง่คิดสุดท้ายที่ท่าน นายก อบต.ท่าข้าม ได้ให้ไว้ ก็คือ ถ้าคณะวิทยาศาสตร์ จะทำให้การจัดการความรู้บังเกิดผล นั้น ทุกคนจะต้องปรับแนวคิดของตัวเอง และเปิดใจยอบรับ ซึ่งคณะวิทยาศาสตร์ ก็ต้องดึงทุกคนให้มามีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่างๆ ให้ได้ เพราะถ้าทุกคนไม่มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม และต่างคิดว่า เป็นการเพิ่มภาระงานให้กับตัวเอง ก็จะทำให้การจัดการความรู้ภายในคณะวิทยาศาสตร์ ไม่บังเกิดผลอย่างแน่นอน...

วก มาเรื่องของดิฉันอีกสักนิดนะคะ สำหรับดิฉันที่วันนี้ได้ทำหน้าที่เป็นพิธีกร ก็รู้สึกว่าตัวเองได้พัฒนาความสามารถในการเป็นพิธีกรขึ้นมาอีกระดับนึงคะ เพราะวันนี้ดิฉันเป็นพิธีกรที่พูดเป็นธรรมชาติมากขึ้น มีการพูดแซวคน Present บ้าง เป็นบางครั้ง จึงทำให้บรรยากาศภายในงานดีขึ้นกว่าเดิม ที่ดิฉันบอกว่าได้พัฒนาความสามารถในการเป็นพิธีกรอีกระดับนึง ก็เพราะ เมื่อก่อนดิฉันเป็นพิธีกรที่พูดได้ฟืดมากคะ ไม่มีมุขขำอะไรเลย ทำให้ไม่มีสีสัน และเป็นพิธีกรที่พูดตาม Script เกือบทุกอย่าง จึงทำให้บรรยากาศดูเคร่งเครียด อึมครึมไป ซึ่งอาจจะเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของดิฉันเองด้วย ที่เป็นคนนิ่งๆ เงียบ ๆ ไม่ค่อยพูด ถ้าไม่สนิทกับใครจริงๆ ก็จะไม่ปล่อยลูกบ้าออกมา ก็เลยทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเป็นพิธีกรที่ดีบ้างเหมือนกันคะ ดังนั้น เมื่อดิฉันได้พัฒนาความสามารถในการเป็นพิธีกรได้ดีขึ้น ก็ทำให้ดิฉันเกิดความภูมิใจในตัวเอง เพราะถึงจะเป็นแค่เรื่องภูมิใจ เรื่องเล็กๆ ก็ตาม แต่ดิฉันก็คิดเสมอว่า คนเราเมื่อทำอะไรแล้วประสบผลสำเร็จ แม้แต่เป็นเรื่องเล็กๆ เราก็ต้องภูมิใจในตัวเองไว้ก่อน เพราะมันจะเป็นการสร้างกำลังใจที่ดีให้กับตัวเอง และเป็นการคิดในแง่บวก(positive thinking)ทำให้เราไม่ท้อถอยเมื่อเจออุปสรรคต่างๆ คะ
ถึง การเป็นพิธีกรของดิฉันในวันนี้จะตะกุกตะกัก , ผิดพลาดไปบ้าง เนื่องจากได้ฝึกซ้อมมาน้อย แต่ดิฉันก็ไม่ซีเรียสอะไรหรอกนะคะ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติของมือใหม่หัดเป็นพิธีกร มันก็ต้องผิดพลาดกันบ้างเป็นธรรมดา ก็เลยอยากจะฝากท่านอื่นไว้นะคะ ที่อาจจะเป็นพิธีกรมือใหม่ ว่า ก่อนวันที่ท่านจะต้องเป็นพิธีกร ท่านต้องฝึกพูดให้คล่อง , กำหนดการต้องแม่น และฝึกยิ้มให้เยอะๆนะคะ เพราะถ้าท่านฝึกพูดไว้เยอะๆ ก็จะทำให้ความผิดพลาดในการเป็นพิธีกรของท่าน มีเปอร์เซ็นต์น้อยลง หรือท่านอาจจะไม่ผิดพลาดเลยก็ได้คะ ส่วนในเรื่องของกำหนดการที่บอกว่าต้องแม่น เนื่องจากจะช่วยให้ท่านลำดับขั้นตอนได้ว่า ต่อไปจะเป็นกิจกรรมอะไร ท่านต้องดำเนินรายการอย่างไร เพราะบางท่านอาจจะตื่นเวทีจนทำให้ลืมขั้นตอนไปได้คะ ส่วนการฝึกยิ้มให้เยอะๆ ก็เพราะจะเป็นการสร้างบรรยากาศภายในงานให้ดีขี้นคะ และยังเป็นแสดงถึงการต้อนรับผู้มาเข้าร่วมงานในทางอ้อมด้วยนะคะ.. สำหรับบันทึกฉบับนี้ ก็ขอฝากไว้แค่นี้ก่อนนะคะ พบกันใหม่ในบันทึกฉบับต่อไปคะ..สวัสดีคะ

เทคนิคการใช้ไมโครโฟน


ทำไม ต้องมาพูดกันถึงเรื่องของไมโครโฟน ? ก็เพราะพิธีกรกับไมโครโฟนเป็นของคู่กัน หากจะเปรียบว่า "มือถือไมค์ไฟส่องหน้า" เหมือนนักร้องก็คงไม่ผิดกันสักเท่าไหร่นัก พิธีกรหลายคนเสียอนาคตไปเพราะไมโครโฟนก็มากมาย โดยเฉพาะ "พิธีกร มืออาชีพ" แต่ไม่ได้มีอาชีพพิธีกรอย่างเราท่าน บางงานเจ้าภาพก็ไม่ได้สนใจระบบเครื่องเสียงสักเท่าใด คงอาจเห็นว่าตนเองไม่ได้พูด ประกอบพิธีกรก็มักจะเป็นประเภทขอแรงมาช่วยกัน ดังนั้่นขอให้พูดผ่านไมโครโฟนแล้วมีเสียงออกมาทางลำโพงให้ได้ยินกันอย่าง ทั่วถึงก็ถือว่าระบบเสียงใช้ได้แล้ว ผู้เขียนเองก็จะเจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำ และเราท่านทั้งหลายก็คงจะต้องอยู่ในฐานะเดียวกับผู้เขียนเป็นส่วนใหญ่ เจ้า ภาพหรือเจ้าของงานมักจะลืมความสำคัญของระบบเสียง เพราะมั่นใจในตัวพิธีกร แต่หารู้ไม่ว่า พิธีกรต้องสูญเสียบุคลิกภาพการพูดไปอย่างน่าเห็นใจ
แต่อย่างไรก็ตามขอเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับเทคนิคการใช้ไมโครโฟนจากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง เพื่อว่าอาจจะเป็นแนวทางสำหรับทุกท่านบ้าง
1) ควรไปถึงงานก่อนเวลาสัก 1 ชั่วโมง แล้วลองพูดผ่านไมโครโฟนดูว่า กระแสเสียงเป็นอย่างไร ชัดเจนแค่ไหน ตามปกติจะมีตำราว่า การใช้ไมโครโฟนควรให้ห่างจากปากประมาณ 10 นิ้ว แต่จากประสบการณ์ผู้เขียนแล้ว พบว่า ไมโครโฟนสมัยนี้มีหลายแบบหลายรุ่น บางรุ่นอยู่ห่างปากพูดเบาๆก็ได้ยิน บางรุ่นต้องถือจ่อไว้เกือบติดปากเสียงจึงจะชัดเจน ดังนั้นขอเสนอเป็นบรรทัดฐานว่า ควรถือไมโครโฟนห่างจากปากประมาณ 1 คืบ จะเหมาะที่สุด
2) ขณะพูดควรสังเกตเสียงที่ออกจากไมโึีครโฟนด้วยว่า ชัดเจนแค่ไหน ท่่านต้องปรับระยะการใช้ไมโครโฟนให้เหมาะสมสมอ บางทีพูดๆไปเสียงลมจากการเปิดปากพูด หรือเสียงลมหายใจจะออกมาชัดเจน ต้องใช้วิธีดึงไมโครโฟนออกห่างจากปากสักหน่อยแล้วพูด หรือถ้าเป็นไมค์ลอยลักษณะการถือมักจะต้องจับไมโครโฟนเกือบขนานกับพื้นเสียง จึงจะออกมาชัดเจน
3) ต้องสังเกตว่า สวิชท์เปิดปิดไมโครโฟนอยู่ตรงไหน ก่อนพูดต้องเปิดให้เรียบร้อยและพูดจบต้องปิดให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันเสียงอื่นๆแทรกขณะไม่ได้ใช้ไมโครโฟน นอกจากนี้ขาตั้งไมค์จะมีหลายแบบท่านต้องศึกษาจากผู้ควบคุมเสียงว่าจะเลื่อน ขึ้นลงอย่างไร บางรุ่นจะใช้วิธีหมุนเกลียว บริเวณขาไมค์ บางรุ่นจะใช้วิธียกที่ข้อต่อ ท่านต้องสอบถามให้แน่ชัด
4) เมื่อเริ่มต้นพูดอย่าทดลองเสียงด้วย คำว่า "ฮัลโหล...ฮัลโหล" หรือเคาะ หรือเป่าลมใส่ไมโครโฟนเป็นอันขาด ควรพูดออกไปเลยว่า "สวัสดีค่ะ (ครับ)" และนี้เองที่ท่านจะเป็นต้องมาถึงงานก่อนเวลาเริ่มงานเพื่อทดสอบความพร้อมของไมโครโฟน
5) เมื่อพูดจบแต่ละช่วงหากท่านจำเป็นต้องยืนอยู่บนเวที และต้องถือไมโครโฟนไว้ ควรถือไว้ระดับเอว อย่ายืนถือแบบตามสบายโดยหย่อนข้างลำตัว พราะจะทำให้ดูบุคลิกภาพไม่ดี

และ นี่คือเรื่องราวของเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ เที่ยวกับการใช้ไมค์โครโฟน ซึ่งพิธีกรทุกคนควรจะทราบ เพราะสิ่งเล็กๆ น้อย ๆ เหล่านี้อาจจะสร้างความสำเร็จและความล้มเหลวให้พิธีกรได้เช่นนั้น

เทคนิคหรือกลยุทธ์ของการเป็นพิธีกร


มนุษย์ เป็นสัตว์สังคม มีความต้องการที่จะติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะให้ผู้ อื่นเข้าใจตนเองและให้ตนเองเข้าใจผู้อื่น พยายามที่จะติดต่อสื่อสาร ระหว่างกันเพื่อจะได้รับรู้ข่าวสารเรื่องราวต่าง ๆยิ่งในยุคนี้ซึ่งเป็นยุคที่เรียกกันว่ายุคโลกาภิวัตรที่สื่อทางวิทยุกระจาย เสียงและวิทยุโทรทัศน์ มีบทบาทสำคัญในการติดต่อสื่อสารโดยนำเสนอเป็นรายการในรูปแบบต่าง ๆ จะเห็นได้ว่ามีบุคคลทำหน้าที่เป็นพิธีกรหรือผู้ดำเนินรายการซึ่งพิธีกรหรือ ผู้ดำเนินรายการนี้ใช่จะเป็นกันได้ง่าย ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่ามือถือไมล์ ไฟส่องหน้าใคร ๆ ก็จะเป็นกันได้ หากแต่ต้องอาศัยความรู้ความชำนาญ ความเข้าใจและปฏิภาณไหวพริบหลาย ๆอย่างประกอบกันเพื่อทำให้รายการดำเนินไปสู่จุดหมายปลายที่ได้วางเอาไว้ พิธีกรต้องรู้เทคนิคหรือกลยุทธ์ของการเป็นพิธีกร
ความหมายและความสำคัญของพิธีกรรายการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์
พิธีกร ผู้ดำเนินรายการ ความหมายมาจากคำภาษาอังกฤษว่า M.C. คือ Master of ceremony พิธีกรความหมายทั่ว ๆ ไปคือมีหน้าที่ในการจัดลำดับพิธีการให้เป็นไปตามกำหนดการที่เขาวางไว้ล่วง หน้าหรือตามที่เห็นสมควรด้วยการประกาศแจ้งให้ผู้เข้าร่วมพิธีเข้าร่วม กิจกรรมตามกำหนดการและแนะนำตัวบุคคลและผู้ร่วมพิธีการได้รู้จักหรือสนทนา หรือสัมภาษณ์บุคคลสำคัญในพิธีการนั้นหรือรวมกล่าวได้ว่าพิธีกรมีหน้าที่ ดำเนินพิธีการตั้งแต่ต้นจนจบ หรือตามรายการหรือตามเวลาที่ได้รับมอบหมายให้ครบถ้วนทางด้านวิทยุหรือทาง ด้านโทรทัศน์ วิทยุคือวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์พิธีกรดำเนินรายการคือผู้ที่จะ สามารถทำให้รายการนั้นดำเนินไปด้วยอย่างราบรื่น อาจจะทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมรายการเป็นผู้ร่วมสนทนาหรือเป็นผู้ประกาศของ รายการนั้น ๆ
หลักการพูดทางวิทยุกระจายเสียงและทางวิทยุโทรทัศน์มีความแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร
การ พูดทางวิทยุกระจายเสียงกับการพูดทางวิทยุโทรทัศน์จะแตกต่างกันการพูดทาง วิทยุกระจายเสียงนั้นเป็นการพูดโดยที่มองไม่เห็นตัวหน้าไม่เห็นหน้าผู้ฟัง เพราะฉะนั้นการพูดทางวิทยุจะต่างกับโทรทัศน์ตรงที่ทางวิทยุจะต้องพูดให้เขา ฟังโดยให้ผู้ฟังเกิดภาพพจน์ตามไปด้วย ส่วนโทรทัศน์นั้นผู้ชมเห็นภาพทางจอโทรทัศน์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการพูดทางโทรทัศน์ก็คงจะต้องบวกบุคลิกภาพลีลาเข้าไปด้วย
หลักการอย่างไรที่จะทำให้ผู้ฟังหรือผู้ชมเกิดความสนใจและติดตามรายการ
การ ที่จะทำให้รายการประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุ โทรทัศน์นั้น จะต้องมีการเตรียมตัวที่ดี คนที่พูดไม่ค่อยดีนักคงต้องเตรียมฝึกพูดเสียก่อน ทางวิทยุกระจายเสียงจะต้องฝึกเปล่งเสียงออกมาเพราะบางคนจะมีการเปล่งเสียง ไม่คงที่ การเตรียมฝึกตัวเองในเรื่องของการเปล่งเสียงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเปล่งนาน ๆ การรักษาระดับเสียงให้คงที่เป็นสิ่งสำคัญ ฝึกกลั้นลมหายใจเมื่อเวลาพูดนาน ๆ หลายประโยคจะไม่เหนื่อย บางคนอ่านหนังสือนาน ๆ น้ำลายจะสอตรงริมฝีปาก บางคนพูดช้ามากคนจะรู้สึกอึดอัดไปด้วย บางคนจะพูดเร็วจนเกินไปคนฟังจะฟังไม่ทัน การเตรียมตัวนั้นจะต้องเตรียมทั้งด้านสุขภาพ บางคนอาจจะเป็นโรคหัวใจจะเหนื่อยเร็วทำงานทางด้านโทรทัศน์หรือวิทยุไม่ได้ คงต้องระวังรักษาสุขภาพให้ดีเสียงที่เปล่งออกมาจะได้ชวนฟัง บางคนที่เหนื่อยมาก ๆ เสียงที่พูดออกมาไม่กระฉับกระเฉง พูดเหนื่อยมาก ๆ คนฟังรำคาญตามไปด้วย ควรจะทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใสเสียงจะได้เบิกบานไปด้วย ส่วน อารมณ์โกรธน้ำเสียงที่ออกมาจะสื่อเสียงโกรธออกมาด้วยต้องมีอารมณ์ที่เบิกบาน แจ่มใส พูดไปด้วยยิ้มไปด้วยอาจจะทำให้คนฟังยิ้มตามไปด้วย การเตรียมบทวิทยุจะต้องเตรียมคำพูดมาแล้วถ้าหากว่าไม่มีบทติดมือมาด้วยบาง ครั้งลืม คำพูดที่พูดออกไปอาจจะไม่ดี ส่วนทางด้านโทรทัศน์คงจะต้องฝึกหลายอย่าง เพราะจะต้องมีลีลาประกอบไปด้วย จะต้องฝึกหน้ากระจกเพื่อเราได้ดูตัวเองได้ว่าเป็นอย่างไรฝึกโดยใช้เครื่อง มือช่วยคือการบันทึกเทปเอาไว้ จากนั้นมาสำรวจตัวเองว่าสิ่งที่ทำไปดีไหม จะเป็นกระจกบานแรกที่จะสะท้อนตัวเองก่อนเอาไปให้คนอื่นวิจารร์ และยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยการฝึกพูดอีกประการหนึ่งคือจะต้องฝึกใน การพูดไปด้วยยิ้มไปด้วย สิ่งเหล่านี้จะเป็นเสน่ห์ของผู้ดำเนินรายการทางโทรทัศน์และมีหลายคนที่ประสบ ความสำเร็จ ในขณะเดียวกันทางด้านโทรทัศน์จะต้องมีการฝึกการใช้สายตาด้วยบางคนจะชินกับ กล้อง ๆ เดียว อาจจะมองกล้องไม่ดี บางคนมองไฟแดง ๆ ที่อยู่บนตัวกล้องทำให้ตาเหลือบออกไปเพราะฉะนั้นจะต้องฝึกสบตากับกล้อง ถ้าจะพูดกับผู้ชมอย่าทำตาหลุกหลิกมองโน่นมองนี่ดูเวลาว่าจะจบหรือยังไม่มี สมาธิสิ่งเหล่านี้เป็นการฝึกสำหรับผู้ที่จะพูดทางโทรทัศน์และฝึกพูดในลักษณะ นั่งหรือเดินให้คล่องแคล่ว พิธีกรบางครั้งจะถูกสั่งให้เดินแล้วพูด บางคนนั่งแล้วพูดเสียงจะได้คงที่ บางคนยืนพูดแล้วเสียงดัง
พิธีกรดำเนินรายการควรมีบุคลิกภาพอย่างไร
สำหรับ บุคลิกภาพทางวิทยุปรับปรุงเฉพาะลีลาการพูด น้ำเสียงและอักขระต่าง ๆ ทางด้านโทรทัศน์นั้นบุคลิกภาพสำคัญมากต้องปรับปรุงและแต่งเติมในส่วนที่ขาด ไป เช่น รายการต่าง ๆ ที่ดำเนินรายการอยู่ รายการโทรทัศน์มีหลายประเภทด้วยกัน แต่ละประเภทจะเหมาะกับบุคลิกของแต่ละรายการนั้น ๆ เช่น รายการบันเทิงจะเริ่มตั้งแต่รูปร่างหน้าที่ คนที่จะทำรายการบันเทิงได้จะต้องปรับปรุงบุคลิกภาพให้เป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่ม ใสสร้างความเพลิดเพลินให้ผู้ชมคลายเครียดจากการทำงานมาดูรายการทำให้เพลิด เพลินไปด้วยเพราะฉะนั้นรูปร่างหน้าตาของผู้ดำเนินรายการบันเทิงจะต้องดูดี ถึงแม้ว่าจะไม่สวยมากแต่ขอให้ดูดีซึ่งต่างกับผู้ดำเนินรายการข่าวบุคลิกภาพ จะต้องปรับปรุงให้ดูน่าเชื่อถือ รูปร่างหน้าตาต้องปรับปรุง ถ้าหากทำรายการกับเด็ก ๆ ทำดูเด็กก็ได้แต่สำหรับรายการเพลงไทยเดิมหรือเพลงไทยต้องแต่งตัวเป็นไทย ๆ บุคลิกภาพเหล่านี้ปรับปรุงไปตามรายการนั้น ๆ ส่วนรายการข่าวจะต้องแต่งตัวให้ดูเคร่งขรึม ผู้ชายจะต้องสวมสูท ส่วนผู้หญิงต้องสวมเสื้อผ้าที่ดูดี ดูแล้วชวนมอง เครื่องแต่งตัวเครื่องประดับต่าง ๆ ให้เหมาะสมเป็นบุคลิกภาพที่สามารถจะปรับปรุงได้ คนอ่านข่าวจะต้องไม่แต่งตัวที่ใส่เครื่องประดับราคาแพงวูบวาบเกินไปนักส่วน รายการบันเทิงอื่น ๆ ที่เป็นรายการวงดนตรีใหญ่ ๆ อาจจะแต่งตัวค่อนข้างดี หรูหรา เป็นชุดราตรียาวส่วนน้ำเสียงนั้นจะต้องปรับปรุงถ้าเป็นรายการเด็กจะต้องเป็น เสียงที่พูดกับเด็กแต่ส่วนรายการผู้ใหญ่จะใช้เสียงเด็ก ๆ ไร้เดียงสาคงจะไม่เหมาะนักเพราะฉะนั้นจะต้องทำเสียงให้เข้ากับบรรยากาศนั้น ๆ ส่วน การพูดคุยกับผู้ที่พูดภาษาฝรั่งตลอดเวลาจะต้องคอยแปลเป็นไทยให้คนฟังบ้างนิด หน่อยแล้วก็ใช้ภาษาที่ง่าย ๆ ให้กับคนฟัง ให้คนฟังเข้าใจวิธีการพูด ให้พูดชัดถ้อยชัดคำปรับปรุงบุคลิกภาพของตนเองในเรื่องของลีลา น้ำเสียง จังหวะ ท่าทาง นอกจากรูปร่างหน้าตา ทรงผม เครื่องแต่งตัว วิธีการพูด น้ำเสียงแล้วกิริยาท่าทางเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพิธีกร เพราะพิธีกรที่ดีนั้นจะต้องมีกิริยาท่าทางที่นุ่มนวลหรือร่าเริง หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้ผู้ชม ผู้ฟัง ที่อยู่ทางบ้านมีส่วนร่วมกับรายการนั้นไปด้วยในขอบเขตที่เหมาะสม แต่ในขณะเดียวกันผู้ที่เป็นพิธีกรจะต้องให้เกียรติทุกคนที่มาร่วมรายการและ ผู้ฟังผู้ชมทางบ้านเสมอ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อยู่เสมอ พิธีกรจะต้องมีการควบคุมอามรณ์ได้ดี พยายามแก้ไขปัญหาด้วยความสุขุมรอบคอบ บุคคลที่จะเป็นพิธีกรทางวิทยุหรือโทรทัศน์หรือวิทยุควรฝึกเรื่องอักขระให้ ถูกต้อง แม่นยำ ภาษาไทยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เป็นวัฒนธรรมทางภาษา อาจจะเป็นหนึ่งในโลกที่ดีที่สุดอยู่ในขณะนี้ พิธีกรทางโทรทัศน์ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ให้มาก ๆ บุคคลที่จะเป็นพิธีกรดำเนินรายการจะต้องรู้จักดูรายการของคนอื่น ๆ ด้วย ดูให้มาก ๆ แล้วนำมาพัฒนา ปรับปรุงบุคลิกภาพของตนเองอยู่ตลอดเวลา












การทำหน้าที่พิธีกรในงานประเภทต่างๆ


โดย ทั่วไปงานสังคมที่เราพบเห็นจะมีอยู่ 3 ประเภท คือ งานแบบเป็นพิธีการ งานแบบไม่เป็นพิธีการ และงานกึ่งพิธีการ ลักษณะของงานถูกจำแนกเป็นประเภทตามบรรยากาศและรูปแบบของงาน พิธีกรจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้ และแยกแยะได้ เพราะงานบางงานอาจจะมีลักษณะบรรยากาศผสมกลมกลืนกันทั้ง 3 ประเภท ในขณะที่บางงานจะมีบรรยากาศ และรูปแบบเป็นเอกลักษณ์ชัดเจน การทำหน้าที่ของพิธีการในแต่ละบรรยากาศของงานจึงต้องแตกต่างกันออกไป
งานแบบพิธีการ
งาน ลักษณะนี้มักจะมีลำดับขั้นตอนของการดำเนินรายการอย่างเป็นรูปแบบที่เคร่ง ครัดทั้งในด้านเวลา คำพูดที่จะใช้ และขั้นตอนรายการ เช่น งานพระราชพิธีต่างๆ งานมอบประกาศเกียรติคุณ งานเปิดการฝึกอบรมหรือการประชุมที่เป็นทางการ ได้แก่ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น
ข้อแนะนำสำหรับพิธีกร
1) พิธีกรต้องมีความแม่นำในขั้นตอนการดำเนินรายการ เพราะงานแบบพิธีการจะผิดเพี้ยนไปไม่ได้เลย งานพิธีการจะมีกรอบโครงสร้างตายตัว ก่อนทำหน้าที่ควรศึกษาขั้นตอนว่า ใครจะต้องทำอะไร เมื่อไร และที่ไหน 2) ต้องทราบรายละเอียดของบุคคลที่จะต้องเอ่ยถึงในงานว่า ใครคือคนสำคัญที่สุดในงาน ใครเป็นประธานของงาน การเอ่ยชื่อ –สกุล ยศ ตำแหน่งต้องถูกต้อง
3) ควรไปถึงงานก่อนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อตรวจสอบความพร้อมของงาน และประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องให้ชัดเจนอีกครั้ง และเพื่อกันความผิดพลาด
4) การแต่งกายของพิธีกรจะต้องเรียบร้อยถูกต้องกับลักษณะงาน เช่น การแต่งชุดข้าราชการเต็มยศหรือครึ่งยศ หรือชุดปกติกากีคอพับ หากเป็นงานราตรีก็ควรจะแต่งกายให้ดูดีเหมาะสมเหล่านี้เป็นต้น
5 )พิธีกรควรจัดทำ Script การดำเนินรายการให้ชัดเจน คำว่า Script มิได้หมายถึง กำหนดการจัดงาน แต่หมายถึงบทโดยละเอียดที่พิธีกรจะต้องทำรายละเอียดเพิ่มเติมโดยประสารกับ ผู้เกี่ยวข้อง หากมีฝ่ายจัดทำให้แล้ว พิธีกรจะต้องศึกษาให้แม่นยำอีกครั้ง
เพื่อให้ชัดเจนขึ้นจะขอยกตัวอย่างประกอบดังนี้

กำหนดการพิธีถวายเครื่องราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ณ ลานหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมืองพัทยา
วันที่ 28 ธันวาคม 2546
08.00 น.-ผู้แทนหน่วยงาน องค์กร และกลุ่มพลังต่างๆ ลงทะเบียน

08.30 น.-การแสดงศิลปะการต่อสู้จากวิทยาลัย พลศึกษาชลบุรี
09.00 น.-ผู้แทนหน่วยงาน องค์กร และกลุ่มพลังต่างๆ ตั้งแถว เพื่อเตรียมประกอบพิธี
09.15 น.-ผู้แทนหน่วยงาน องค์กร และกลุ่มพลังต่างๆ ถวายเครื่องราชสักการะ
10.00 น.-นายไพรัช สุทธิธำรงสวัสดิ์ นายกเมืองพัทยา ประธานในพิธีมาถึงบริเวณพิธี
วงดุริยางค์บรรเลงเพลงมหาฤกษ์
ประธานขึ้นสู่บริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ และประกอบพิธีถวายเครื่องราชสักการะ

ประธานกล่าวคำถวายราชสดุดี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้า ตากสินมหาราช
10.15 น.-จบแล้ววงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี เป็นอันเสร็จพิธี
Script ดำเนินรายการ
09.00 น. - เสียงฆ้องดัง 3 ครั้ง
- Sound ข้อความ...“เรียนท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ขณะนี้ใกล้เวลาที่จะประกอบพิธีถวายเครื่องราช สักการะ...ขอขอบคุณในความร่วมมือของทุกท่าน
09.15 น. - เสียงฆ้องดัง 3 ครั้ง

- พิธีกรประกาศ “ขณะนื้ได้เวลาประกอบพิธีถวาย เครื่องราชสักการะแด่ดวงทิพยวิญญาณแห่งองค์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ณ พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้แล้วขอเรียนเชิญท่านผู้มีเกียรติ ผู้แทนหน่วยงาน องค์กรและภาคเอกชนเข้าถวาย เครื่องราชสักการะตามลำดับดังนี้...” (ตีฆ้องเป็น จังหวะให้สัญญาณตลอดพิธี)
10.00 น. - พิธีกรประกาศ “ขณะนี้ นายไพรัช สุทธิธำรง สวัสดิ์ นายกเมืองพัทยา ประธานในพิธีเดินทาง มาถึงบริเวณพิธีแห่งนี้แล้ว” - ประธานเดินออกมาหยุดยืนยังจุดที่กำหนดไว้
- การบรรเลงเพลงจบลง พิธีกรประกาศ “ลำดับนี้ ประธานจะประกอบพิธีถวายเครื่องราชสักการะแด่ดวงทิพยวิญญาณแห่งองค์สมเด็จพระ เจ้า ตากสินมหาราช ณ บัดนี้”

- เสียงฆ้องดัง 3 ครั้ง
- ประธานพร้อมเจ้าหน้าที่อัญเชิญเครื่องราช สักการะพุ่มดอกไม้สด มายืนยังจุดที่กำหนดให้
- ประธานและเจ้าน้าที่อัญเชิญฯ ถวายความเคารพพร้อมกัน
- ประธานและเจ้าหน้าที่อัญเชิญฯ เดินขั้นบันไดไปยืนหน้าแท่นวางเครื่องราชสักการะ
- ประธานถวายเครื่องราชสักการะพุ่มดอกไม้สด

- ประธานจุดธูปเทียน เครื่องทองน้อย กราบ 1 ครั้ง ไม่แบมือ
- ประธานและเจ้าหน้าที่อัญเชิญถวายความเคารพ พร้อมกันแล้วหันหลังกลับ เดินมายืนยังจุดที่กำหนดให้
- พิธีกรประกาศ “เพื่อน้อมรำลึกถึงพระวีรกรรมอันหาญกล้า ซึ่งทรงกระทำการเพื่อชาติ ศาสนา และ มหาชนอย่างแท้จริง นายกเมืองพัทยา ในนามพสกนิกรชาวเมืองพัทยา ทุกหมู่เหล่าจะได้กล่าวคำถวายราชสดุดี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จ พระเจ้าตากสินมหาราช ณ บัดนี้”
- เสียงฆ้องดัง 1 ครั้ง
- ประธานออกมายืนยังจุดที่กำหนดให้และกล่าวคำถวายราชสดุดีฯ
- ประธานกล่าว... จนจบข้อความว่า"เพื่อเฉลิมพระเกียรติให้ไฟศาลตลอดกาลนานเทอญ”
10.15 น. - ดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นอัน เสร็จพิธี
- ประธานและทุกคนถวายความเคารพพร้อมกัน
- เปิดเพลง “เจ้าตาก”งานแบบไม่เป็นพิธีการงาน ลักษณะนี้จะไม่ค่อยเข้มงวดในด้านบรรยากาศของงานมากนัก จะเน้นความเป็นกันเองสอดแทรกด้วยความสนุกสนาน ขั้นตอนรายการก็อาจจะปรับยืดหยุ่นตามสถานการณ์ เช่น งานแต่งงาน งานเลี้ยงชุมนุมศิษย์เก่า งานเลี้ยงต้อนรับ งานเลี้ยงอำลา งานบันเทิงต่างๆ เป็นต้น
ข้อแนะนำสำหรับพิธีกร
1) งานแบบไม่เป็นพิธีการถึงแม้จะมีรูปแบบสบายๆ ไม่เคร่งครัดก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่พิธีกรจะต้องคำนึงเสมอ ก็คือ ขั้นตอนการดำเนินการ หรือขั้นตอนรายการ พิธีกรต้องวางขั้นตอนเหล่านี้อย่างเป็นระบบคร่าวๆ เพื่อให้สามารถควบคุมรายการได้ มิฉะนั้นจะทำให้บรรยากาศของงานดูสับสน และมีผลต่อบุคลิกภาพ รวมทั้งการพูดของพิธีกรไปทันที
2) จากประสบการณ์ของผู้เขียนเห็นว่างานแบบไม่เป็นพิธีการนั้นอาจจะดูง่ายๆ ไม่เคร่งครัดก็ตาม แต่พิธีกรหลายคนก็เป็นอันถึงกาลอนาคตดับไปเลยก็เพราะงานแบบนี้ ดังนั้น พิธีกรจะต้องมีความรู้สึกไวต่อบรรยากาศ และปฏิกิริยาของผู้ฟัง ทั้งนี้ เพื่อปรับให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในสภาพที่น่ารื่นรมย์ พิธีกรจะต้องมีปฏิภาณไหวพริบและต้องสามารถสร้างบรรยากาศของงานให้ได้
ผู้ เขียนเคยไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์อยู่ครั้งหนึ่ง งานนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดไปเป็นเกียรติในงานด้วยและนับเป็นผู้บังคับบัญชา สูงสุด จะด้วยเหตุอันใดไม่ทราบเมื่อพิธีกรเชิญผู้ว่าฯ ขึ้นปราศรัยท่านก็พูดอย่างสบายๆ แบบเป็นกันเองก็เลยใช้เวลามากไปหน่วย ขณะที่ผู้ว่าฯ กำลังพูดก็มีจดหมายน้อยส่งขึ้นมา พิธีกรรีบปราดออกไปรับทันที แล้วก็เปิดจดหมายอ่านในใจ ผู้ว่าฯ เหลือบเห็นก็เลยถามว่า “มีอะไรหรือ” ด้วยความซื่อหรือจะเรียกว่าอะไรก็ไม่ทราบ พิธีกรยื่นจดหมายน้อยให้ผู้ว่าฯ ทันทีพอผู้ว่าฯ เปิดจดหมายออกอ่านด้วยน้ำเสียงดังฟังชัดสมกับเป็นผู้นำ จากข้อความที่เขียนมาว่า “หยุดพูดเสียที อยากจะฟังเพลงแล้ว เบื่อว่ะ” เหตุการณ์เป็นอย่างไรต่อไปท่านคงจะพอเดาออก ปรากฏว่าพิธีกรซึ่งเป็นข้าราชการหนุ่มไฟแรงและนับเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา ที่ทำหน้าที่นี้ถูกตำหนิอย่างมากมาย และนับแต่นั้นมาเขาก็ดูจะขยาดเวทีไปอีกนาน
3) การใช้ภาษาในงานแบบนี้ อาจจะต้องใช้ภาษาที่ทันสมัยปะปนไปด้วยก็ได้ แต่ต้องคำนึงถึงความพอดี ทั้งในแง่ของบรรยากาศ บุคคล และสถานที่ด้วยภาษาเหล่านี้จะเป็นตัวเสริมบรรยากาศให้เป็นกันเองได้ เช่น เจ๋ง วืด เนี๊ยบ เหล่านี้เป็นต้น
4) นอกจากนี้ ข้อแนะนำอื่นๆ ให้ดูจากข้อแนะนำในงานแบบพิธีการประกอบ เช่น เวลา การแต่งกาย การเตรียม Script
งานแบบกึ่งพิธีการงาน ลักษณะนี้บางโอกาสก็คือ งานพิธีการนั่นเอง เพียงแต่มีความแตกต่างของบรรยากาศ และบางโอกาสกคืองานแบบไม่เป็นพิธีการได้ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้จะสังเกตได้อย่างไร จากประสบการณ์ของผู้เขียนแล้วจะใช้วิธีพูดคุยกับเจ้าของงาน หรือผู้รับผิดชอบถึงขอบข่ายของงานลักษณะบรรยากาศ ลักษณะบุคคลที่เป็นประธาน และผู้มาร่วมงานเป็นหลัก งานลักษณะนี้ได้แก่ งานแต่งงาน งานบวช งานเลี้ยงรับรอง งานเกษียณอายุ เป็นต้นข้อแนะนำสำหรับพิธีกร1) พิธีกรควรจะพูดคุยกับเจ้าของงานหรือผู้รับผิดชอบงานในรายละเอียดของงานให้ แน่ชัดว่าช่วงใดจะต้องดำเนินรายการแบบเป็นทางการ หรือเป็นพิธีการช่วงใดสามารถดำเนินรายการโดยอิสระไม่ยึดรูปแบบเคร่งครัดหรือ แบบไม่เป็นพิธีการ หากเจ้าของงานขอคำแนะนำเพราะไม่มั่นใจว่าจะทำอะไรช่วงใด พิธีกรต้องช่วยชี้แนะและวางรายการให้เพื่อให้เหมาะสมที่สุด
2) การเตรียมการอื่นๆ ของพิธีกรให้ศึกษาจากข้อแนะนำที่เสนอไว้ในงานแบบพิธีการและแบบไม่เป็นพิธีการ
กล่าว โดยสรุปแล้วการทำหน้าที่ของพิธีกรในลักษณะต่างๆนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับหลักการที่ถูกต้องแล้ว ยังต้องสอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละองค์กรนั้นๆ ด้วย จะเป็นว่า งานบางงานจะเป็นทั้งแบบพิธีการและกึ่งพิธีการหรือไม่เป็นพิธีการในงานเดียว กันก็ได้ ดังนั้น ประสบการณ์ การู้จักเป็นผู้สังเกต และการพัฒนาตนเองของพิธีกรเท่านั้นที่จะทำให้การทำหน้าที่พิธีกรแต่ละครั้ง ดำเนินไปได้อย่างน่าประทับใจ

เทคนิคการใช้ภาษา


   ความ จริงเรื่องการใช้ภาษาเป็นสิ่งสำคัญที่ถูกกำหนดโดยหลักเกณฑ์และระเบียบวิธี ใช้อยู่แล้วตามลักษณะของการใช้ แต่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ถึงวิธี ซึ่งจะทำให้เราสามารถใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมทั้งกับบุคคล สถานที่ และเวลาโดยเฉพาะผู้ทำหน้าที่พิธีกร ทั้งนี้ โดยหมายรวมทั้งภาษาพูดและภาษาท่าทาง
ภาษาที่จะต้องใช้จะแบ่งออกเป็นดังนี้
1) คำราชาศัพท์
2) ภาษาทางราชการ
3) ตัวย่อต่างๆ
4) ชื่อเฉพาะ
5) ศัพท์เทคนิคเฉพาะทาง
6) ภาษาแสลงต่างๆ

ใน ที่นี้จะไม่อธิบายละเอียดว่า ภาษาประเภทที่กล่าวถึงแต่ละอย่างน้อยจะมีวิธีใช้อย่างไร แต่จะขอนำเสนอวิธีกรที่จะส่งเสริมให้ท่านในฐานะพิธีกรได้พัฒนาการใช้ภาษา ไ้ด้อย่างถูกต้อง สิ่งหนึ่งท่านจะต้องคำนึงเสมอก็คือผู้ฟังหรือผู้ชมมักจะคาดหวังว่าท่านคือ ผู้รอบรู้ในการพูดแบะเป็นแม่แบบของการพูดมิฉะนั้นท่านคงจะไม่ได้รับมอบหมาย ให้เป็นพิธีกร แล้วท่านควรจะสร้างภาพลักษณ์ของตนเองในการใช้ภาษาอย่างไร

สำหรับผู้เขียนแล้วจะใช้วิธีการดังนี้
1) จะต้องมีพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฉบับปัจจุบันที่สุด และพจนานุกรมภาษาอังกฤษ (Dictionary) ประจำโต๊ะทำงานและที่บ้านเพื่อพร้อมที่จะค้นคว้าเมื่อมีปัญหาด้านการอ่าน การเขียน หรือความหมายของคำ
2) จะต้องมีหนังสือเกี่ยวกับการใช้ราชาศัพท์ การอ่านคำย่อ การอ่านชื่อเฉพาะต่างๆไว้ประกอบการค้นคว้า
3) ผู้เขียนจะมีแฟ้มส่วนตัวเืพื่อรวบรวมสาระสำคัญต่างๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพูดไว้ชื่อว่า แฟ้มล้วนสาระ ในแฟ้มจะเก็บรายละเอียดหลากหลายที่เห็นว่ามีคุณค่า เช่น การจัดขบวนเครื่องสูงสมัยโบราณ ประวัติกีฬาแหลมทอง Script การจัดงานต่างๆทั้งนี้เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นคลังข้อมูลในการใช้ภาษาได้ เป็นอย่างดี
4) ต้องเป็นคนทันสมัยเสมอนั่นคือต้องรู้ความเคลื่อนไหวของโลก ของสังคมว่าขณะนี้มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อโลกเปลี่ยนไปวิวัฒนาการของภาษาก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย เช่น ภาษาของวัยรุ่นก็จะมีศัพท์แปลกเพิ่มมากขึ้นเมื่อไปพูดกับคนกลุ่มใดจะได้หยิบ มาใช้เป็นสีสันในการพูดได้บ้าง

ข้อแนะนำในการใช้ภาษา
1) เวลาพูดหากมีคำราชาศัพท์ เช่น โปรดเกล้าฯ ต้องอ่านว่า โปรดเกล้ากระหม่อม เป็นต้น 2) หากเป็นคำย่อต้องพูดเป็นคำเต็ม เช่น น.ส.วรรณภา วรรณศรี ต้องพูดว่า
นางสาว...................ส.ส.ต้องพูดว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น
3) หากเป็นชื่อเฉพาะต้องอ่านตามที่เจ้าของชื่อระบุ เช่น นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย หากพิจารณาตามหลักภาษาไทย คำว่า “สุรเกียรติ์” มีตัวการันต์ บังคับอยู่บน”ติ” แสดงว่าไม่ต้องออกเสียง โดยมี “ติ” สะกด ซึ่งน่าจะอ่านว่า “สุ-ระ-เกียน” แต่เป็นชื่อเฉพาะเจ้าของชื่อต้องการให้อ่านว่า ”สุ-ระ-เกียด” เราก็ต้องอ่านตามชื่อเฉพาะเหล่านี้ เป็นต้น
4) การพูดโดยใช้คำภาษาต่างประเทศปะปนไปกับภาษาไ่ทย ผู้เขียนเห็นว่าก็ไม่เป็นข้อห้ามตายตัวว่าไม่สมควรพูด แต่ทั้งนี้ต้องขึ้้นกับความเหมาะสมกับผู้ฟังและสถานการณ์เป็นหลัก
5) การพูดที่มีเสน่ห์อาจจะต้องสอดแทรกด้วยคำคม สุภาษิตคำพังเพย พิธีกรควรจะรวบรวมสิ่งเหล่านี้ไว้และหากจะยกมาเปรียบเปรยก็ควรจะใช้วิธีท่อง ให้จำดีกว่ายกขึ้นมาอ่าน หรือถ้าจะอ่านก็ต้องอย่าก้มอ่่านจนกระทั่งผู้ฟังจับได้
6) ฟังการอ่านข่าว หรือการบรรยายในงานพระราชพิธี หรืองานพิธีที่สำคัญเสมอเพื่อให้ได้แบบอย่างของการพูด
สำหรับ ในส่วนของภาษาท่าทางนั้น ผู้ทำหน้าที่พิธีกรทุกคนคงจะรู้หลักกันมาบ้างแล้วจึงไม่ขอนำมาขยายความ ณ ที่นี้ เพียงแต่ขอสรุปไว้ว่าการใช้ภาษานั้นเป็นเรื่องลึกซึ้ง แต่ไม่ยุ่งยากเกินกว่าที่จะเรียนรู้ หมั่นสังเกต หมั่นฝึกฝน หมั่นประเมินการพูดของตนเอง และศึกษาจากผู้ที่มีแบบอย่างการพูดที่ดีอยู่เสมอ นี่คือ ทางมาซึ่งเทคนิคการใช้ภาษา

การสร้างบุคลิกภาพของพิธีกรเพื่อให้เป็นที่ประทับใจ


 ที่ ต้องนำเรื่องขึ้นมาเขียนก่อนก็เป็นเพราะด่านแรกที่ผู้คนจะนำมาเป็นข้อมูลใน การตัดสินใจว่า คนแต่ละคนเป็นอย่างไร น่าเลื่อมใสศรัทธาน่าคบหาสมคมด้วยหรือไม่นั้น ก็มักจะเป็นเรื่องของบุคลิกภาพที่ได้พบเห็นกันเป็นครั้งแรก ถึงแม้จะเป็นข้อมูลที่อาจไม่ถูกต้องกับความเป็นจริงมากนักก็ตาม แต่บุคลิกภาพ ก็คือ ภาพลักษณ์ หรือภาพที่ผู้อื่นนึกคิดหรือคาดหวังว่าเราน่าจะเป็นโดยเฉพาะผู้ที่ทำหน้าที่ พิธีกร ประกอบกับพิธีกรจำเป็นจะต้องปฏิบัติหน้าที่โดยปรากฏกายให้สาธารณชนได้เห็น ขณะพูดด้วย ดังนั้น พิธีกรทุกคนจึงควรให้ความสนใจภาพลักษณ์ของตนเป็นอันดับแรกก่อนที่จะก้าวสู่ สาระของการพูด
สมปราชญ์ อัมมะพันธ์ (ม.ป.ป. : 58) กล่าวว่า ความ จริงการพูดเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพ และในขณะเดียวกันบุคลิกภาพก็เป็นหัวใจห้องสำคัญของการพูด ผู้พูดที่ดีจึงต้องปรับปรุงบุคลิกภาพให้ดีเพื่อจูงใจผู้ฟังให้เกิดความสนใจ

ด้วย เหตุนี้ พิธีกรจึงต้องใส่ใจกับการเสริมสร้าง และพัฒนาบุคลิกภาพของตนอยู่เสมอเพราะบุคลิกภาพที่ดูดีย่อมสามารถดึงดูดใจให้ ผู้ฟังผู้ชมติดตามเรื่องราวหรือรายการที่พิธีกรกำลังดำเนินการได้เป็นอันดับ แรก
บุคลิกภาพมิใช่เป็นเรื่องของร่างกายภายนอกเท่านั้น หากแต่หมายความถึง ทุกส่วนทุกสิ่งที่รวมตัวตนของมนุษย์ นั่นคือร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สติปัญญาของบุคคลนั้นๆ ในส่วนของบุคลิกภาพ แบ่งเป็น 4 ด้าน เพื่อสะดวกแก่การศึกษา ดังนี้

ด้านร่างกาย
ด้าน ร่างกาย หมายถึง รูปร่างและหน้าตา ทั้งนี้ เนื่องจากพิธีกรต้องพูดโดยให้ผู้ฟังได้เห็นหน้าตาไปพร้อมขณะที่พูด ดังนั้น รูปร่างหน้าตาจึงนับเป็นประตูแรกในการเปิดใจผู้ฟัง แต่ ไม่ได้หมายความว่า พิธีกรต้องเป็นคนสวยหรือคนหล่อ ยกเว้น พิธีกรทางรายการโทรทัศน์ หรือพิธีกรบางรายการที่เน้นด้านรูปร่างหน้าตา เช่น พิธีกรการประกวดนางงาม เป็นต้น หากเราไม่สามารถเป็นได้อย่างที่ต้องการจะเป็นก็ขอให้คนหน้าตาสะอาดสดชื่อ ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นนิจเป็นมิตรกับทุกคน พิธีกรต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ตั้งแต่เส้นผม ผิวหนัง ผิวหนัง เล็บ ความสะอาดของร่างกายก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนัก ผมสะอาดหรือไม่เป็นรังแค กลิ่นกายต้องสะอาด กลิ่นปากต้องสะอาด เล็บมือ เล็บเท้าต้องดูแลให้เรียบร้อย พยายามอย่าให้เป็นหวัดบ่อย เพราะโรคนี้เป็นอุปสรรคต่อหน้าที่ของพิธีกรเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้องใช้เสียงเป็นปัจจัยสำคัญ พิธีกรที่พูดไปกระแอมกระไอไป หรือพูดๆ ไป เสียงขาดเป็นช่วงๆ หรือเสียงแหบแห้ง ล้วนมีผลต่อบุคลิกภาพเป็นอย่างยิ่ง

ส่วน สำคัญอีกประเด็นหนึ่ง คือ พิธีกรต้องมีอารมณ์ดี สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองให้อยู่ในสภาพมั่นคงได้ทุกสถานการณ์ หากเราควบคุมอารมณ์ของเราไม่ได้ เราจะเสียพลังแห่งศักยภาพในการควบคุมคนฟังไปทันที

วิธีการเสริมสร้างบุคลิกภาพด้านร่างกาย ที่ผู้เขียนใช้มาตลอดและได้ผลดี มีดังนี้
1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เสี่ยงการดื่มน้ำเย็นจัด ดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำหรือไม่ก็ดื่มน้ำไม่เย็น เลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ วิธีนี้จะช่วยสถนอมรักษาสุขภาพของน้ำเสียงให้มีความคงเส้นคงวาไม่แหบแห้ง 2. หมั่นออกกำลังการเป็นนิจ โดยเน้นการออกกำลังกายที่เหมาะกับวัย และความพร้อมของร่างกาย
3. นอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง โดยเฉพาะก่อนวันที่จะต้องทำหน้าที่พิธีกรรายการสำคัญๆ
4. รักษาอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ โดยการจัดช่วงเวลาสำหรับชีวิตแต่ละวันปล่อยพักอารมณ์ด้วยการฟังเพลงบรรเลง เบาๆ แล้วปล่อยใจสบายๆ เวลาที่จะเป็นช่วงตื่นนอนตอนเช้า ประมาณ 15 นาที และก่อนนอนประมาณ 15 นาที แล้วก็ปล่อยให้ร่างกายหลับไปในเสียงเพลง ทำเช่นนี้ เรื่อยๆ สม่ำเสมอ จะเกิดการทับทวีของการเป็นผู้มีอารมณ์ดีได้อย่างน่าประหลาดใจ
5. ศึกษาวิธีการแต่งหน้า แต่งผม เพื่อใช้ในการดึงจุดเด่น และเสริมจุดด้อยของตนเองเพราะโบราณก็บอกไว้ว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” ท่านคงเคยชมพิธีกรบางรายการ ที่มีรูปร่างอ้วนกลมแถมเตี้ย หน้าตาก็ใช้ว่าจะโดดเด่น แต่เธอก็สามารถดึงจุดเด่นของรูปร่าง และหน้าตาออกมาสู่สายตาประชาชนได้ด้วยศิลปการแต่งหน้าแต่งผม บวกกับลีลาการพูดที่ฟังสนุกสนานเป็นกันเองจนเป็นที่ยอมรับ เช่น คุณสุริวิภา กุลตังวัฒนา พิธีกรรายการสมาคมชมดาว เป็นต้น

ด้านการแต่งกายด้าน การแต่งกาย หมายรวมถึง เสื้อผ้า เครื่องประดับจนกระทั่งถุงน่อง รองเท้า การแต่งกายเป็นภาพลักษณ์แรกที่คนจะใช้ตัดสินว่าบุคคลผู้นั้นมาจากสังคมระดับ ใด มีรสนิยมแบบไหนคนบางคนเป็นคนธรรมดาๆ แต่การแต่งกายของเขาทำให้เขาดูมีสง่าราศีขึ้นมาสร้างความน่าเลื่อมใสแก่ผู้ พบเห็น แต่บางคนเป็นผู้มีทั้งการศึกษาและอยู่ในแวดวงระดับสังคมชั้นสูง แต่การแต่งเนื้อแต่งตัวกลับไม่ส่งเสริมคุณค่าเหล่านั้นเลย หรือบางคนก็ประดับตกแต่งเสียจนหาจุดเด่น ไม่ได้ดูเปื้อนเปรอะเลอะเทอะไปหมด เราควรจะแต่งกายอย่างไรที่เป็นการเสริมบุคลิกภาพในฐานะที่เป็นพิธีกร ขอแนะนำว่ายึดหลักความพอดี อาจมีคำถามต่ออีกหว่าแล้วอย่างไรจึงจะเรียกว่า พอดี ขอให้ท่านวางแผนว่าลักษณะงาน ลักษณะสถานที่ และรูปแบบของการจัดงานที่จะต้องไฟพูดเป็นแบบไร เช่น เป็นพิธีกรงานแต่งงานก็ควรจะคาดคะเนให้ได้ว่า เจ้าบ่าวเจ้าสาวแต่งตัวแบบไหน พิธีกรก็ไม่ควรแต่งล้ำหน้าคู่บ่าวสาวไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือสีสันของเสื้อ ผ้า ถ้าเป็นงานที่เป็นทางการสุภาพสตรีก็ควรจะสวมกระโปรงเป็นหลักไว้ก่อน เพราะกระโปรงสามารถไปในงานเป็นทางการและไม่เป็นทางการก็ได้ เหล่านี้เป็นต้นการดูแลตนเองด้านการแต่งกายสำหรับพิธีกร ขอแนะนำเป็นแนวทางไว้ ดังนี้1. หมันสังเกตการณ์แต่งกายของผู้คนรอบข้างในงานสังคมต่างๆ รวมทั้งสังเกตการณ์แต่งกายของพิธีกรตามรายการต่างๆ ทางโทรทัศน์ แล้วนำประยุกต์ใช้กับตัวเรา โดยยึดหลักความเหมาะสมกับตนเองทั้งด้านวัย และสถานการณ์ ทั้งนี้ควรคำนึงถึงควรคำนึงถึงหลักประหยัดไว้ได้ก็จะเป็นการดี
2. ศึกษาหาความรู้ด้านการแต่งกายจากหนังสือแม็กกาซีนต่างๆ
3. ควรจัดหาเครื่องแต่งกายที่สามารถประยุกต์ปรับแต่งให้สามารถใช้ได้กับงาน หลายๆ ลักษณะ เพราะจะช่วยให้สิ้นเปลืองน้อยลง โดยเฉพาะพิธีกรที่ไม่มีผู้สนับสนุนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายหมายความว่ามักถูก เชิญไปพูดหรือได้รับมอบหมายให้พูดทุกอย่างต้องจัดหาเอง เสื้อผ้าจึงต้องพยายามเป็นแบบอเนกประสงค์ สีควรเป็นแบบเรียบ ๆ สีออกดำ หรือน้ำเงินจะช่วยให้ปรับเข้ากับเสื้อผ้าสีอื่นๆ ได้ง่าย รองเท้าก็ควรเป็นแบบหุ้มส้นสีออกดำ หรือน้ำตาลเข้มจะดีที่สุดเพราะจะเข้าได้กับเสื้อผ้าทุกสี
4. พิธีการไม่ควรประดับเครื่องประดับมากมายเต็มเนื้อเต็มตัว เพราะจะทำให้จุดสนใจของผู้ฟังหรือผู้ชมไปอยู่ที่เครื่องประดับมากกว่าสาระ และลีลาการพูด ตรงนี้จะเป็นการฉุดดึงบุคลิกภาพและความสำเร็จของการพูดไปอย่างน่าเสียดาย

พฤติกรรมที่แสดงออก
พฤติกรรม ที่แสดงออก หมายถึง พฤติกรรมต่างๆ ที่ประมวลจากพฤติกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับผู้ทำหน้าที่พิธีกร ซึ่งขอแยกออกเป็น 3 ประการใหญ่ๆ ดังนี้
1. การใช้กิริยาท่าทาง ซึ่งรวมการยืน การเดิน การนั่ง การทรงตัว การใช้สีหน้า การใช้สายตา การใช้ท่าทางประกอบการพูด พิธีกรต้องตระหนักเสมอว่า พิธีกรคือจุดเด่นของงานเพราะฉะนั้นทุกสายตาจะจ้องมาที่ตัวท่าน การเคลื่อนไหวของท่านทุกๆ อิริยาบถจะมีผลต่อความสำเร็จในการพูดของท่าน
2. การใช้ภา การพูดจาชัดถ้อยชัดคำถูกต้องตามอักขรวิธี เหมาะกับสถานการณ์และวัฒนธรรมองค์กรนั้น จะช่วยเสริมสร้างการพูดของท่านได้อย่างดีถึงแม้ว่าท่านอาจจะไม่ใช่ผู้มีรูป ร่างหน้าตาสวยหล่อจนสะดุดตา
3. การใช้น้ำเสียง เรื่องของนี้เสียงดูจะเป็นสิ่งที่อิทธิพลสูงต่อความสำเร็จของพิธีกร เพราะพิธีกรมิใช่เป็นเพียงผู้ทำหน้าที่อ่าน หรือประกาศเท่านั้น การรู้จักใช้น้ำเสียงเหมาะกับจังหวะการพูด สอดคล้องกับเรื่องราวที่พูดจะช่วยผลักดันอารมณ์ของผู้ชมให้คล้อยตามได้อย่าง ดี และจะทำให้พิธีกรสามารถควบคุมบรรยากาศของงานได้โดยสิ้นเชิง

ใน ส่วนของพฤติกรรมที่แสดงออกนั้น จะขอแนะนำไว้ในที่นี้ โดยสังเขปว่า พิธีกรต้องหมั่นสังเกตตนเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อพัฒนาปรับพฤติกรรมของตนเองให้ ดียิ่งขึ้น สำหรับรายละเอียดจะกล่าวถึงในบทต่อๆ ไป แต่จะขอฝากข้อคิดตามข้อเขียนของ วิจิตร อาวะกุล (2545) ว่า

บุคลิกภาพ เปลี่ยนแปลงได้ พัฒนาได้ สร้างเสริมได้ แก้ไขปรับปรุงได้ เพื่อยกระดับมาตรฐานคุณสมบัติและคุณภาพของบุคคลให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไปได้ รวมทั้งให้มีความสามารถเหมาะสมกับสถานะตำแหน่งหน้าที่การงานและวิชาชีพได้ โดยใช้เทคนิค หลักการ วิธีการ ความรู้ในการพัฒนาบุคลิกภาพไปพัฒนาตนเอง เพื่อที่จะได้เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ....
....และการที่จะสร้างให้เป็นคน มีบุคลิกภาพดีทันทีทันใดนั้น ก็ทำได้ยาก ผู้ที่มีบุคลิกดีจึงต้องศึกษาเรียนรู้หลักเกณฑ์ วิธีการ ฝึกฝนพัฒนาในชีวิตตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้เกิดบุคลิกภาพที่ดีขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนเกิดเป็นพฤติกรรมที่ถาวร ตลอดไป

เทคนิคในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับพิธีกร


ใน การทำหน้าที่พิธีกรย่อครั้งที่ผู้เขียนต้องพบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด และต้องแก้ไขเหตุการณ์เหล่านี้ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องทำหน้าที่พิธีกร จึงรวบรวมเทคนิคในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นแนวทางสำหรับทุกท่าน ดังนี้

เมื่อถึงเวลาแล้วประธานหรือผู้พูดยังมาไม่ถึง
หน้าที่ ของพิธีกรจะต้องไม่ให้เกิดความเงียบบนเวที ถ้าเลยเวลาไม่ไม่นากนัก พิธีกรก็อาจจะพูดชี้แจงรายละเอียดต่างๆรวมทั้งอาจจะมีเรื่องราวสนุกสนานมา เล่าถ่วงเวลาไว้ก่อน(พิธีกรจึงต้องเป็นผู้มีอารมณ์ขัน) แต่ถ้านานเสียจนผู้ฟังเริ่มกระสับกระส่าย อาจจะจัดกิจกรรมให้ผู้ฟังได้เคลื่อนไหวบ้าง เช่น การปรบมือ การร้องเพลง ขณะเดียวกันต้องรีบให้ฝ่ายจัดงานเร่งแก้สถานการณ์ทันที

เมื่อเครื่องเสียงไม่เป็นใจ
เป็น เรื่องแปลกแต่จริงเครื่องเสียงโดยเฉพาะไมค์โครโฟน เวลาทดสอบก็ดูจะให้ความร่วมมือดี แต่พอถึงเวลาเอาจริงก็มักจะมีเสียงหอน...พูดแล้วเสียงขาดหาย...พูดแล้วไม่มี เสียงออกพิธีกรต้องยิ้มเข้าไว้และเมื่อทุกอย่างปกติก็อาจจะใช้ละลาการพูด ช่วยคลี่คลายบรรยากาศ เช่น มีอยู่ครั้งหนึ่งผู้เขียนไปทำหน้าผู้เขียนไปทำหน้าที่พิธีกรในการอบรมสัมมนา ซึ่งมีวิทยากรพิเศษมาให้การบรรยาย พอถึงเวลาปรากฏว่าไมค์โครโฟนใช้ไม่ได้ เป็นอยู่พักใหญ่กว่าจะแก้ไขได้เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ผู้เขียนเลยพูดนำร่องก่อนเชิญวิทยากรขึ้นพูดว่า “แหม วันนี้พวกเรารอคอยมานานกว่าจะได้คิวจากท่านวิทยากรเพราะเรื่องราวที่ท่านจะ พูดคุยกับพวกเราเป็นเรื่องที่ Hot ที่สุด ไม่นึกเลยว่าไมค์โครโฟนจะตกใจเพราะความ Hot จนสายไหม้่ก่อนที่ท่านวิทยากรจะได้พูดเสียอีก (ฮา...) ขณะนี้ไมค์โครโฟนก็ปรับตัวเรียบร้อยแล้ว ขอเรียนเชิญท่านวิทยากรในลำดับนี้ลยค่ะ
เมื่อพิธีกรอ่านข้อความผิด
“สี่ เท้ารู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” เป็นความจริงเสมอ ถึงแม้ว่าท่านจะเชี่ยวชาญเพียงใดโอกาสพลาดย่อมมี และเมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจะทำอย่างไร สิ่งที่อยากจะแนะนำก็คือท่านต้องตั้งสติให้ดี หากอ่านผิดก็ให้เอ่ยคำว่า “ขออภัยค่ะ” ไม่ใช่ “อุ๊ย ขอโทษ” หรือบางกรณีอาจต้องใช้ไหวพริบ เช่น มีอยู่คราวหนึ่งผู้เขียนเป็นพิธีกรโดยในงานมี คุณชาญศักดิ์ ชวลิตนิติธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรี มาร่วมงานด้วย ผู้เขียนตั้งใจจะเอ่ยชื่อท่าน แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบกลับพูดว่า “...นอกจากนี้ก็มีคุณวิสิทธิ์ ชวลิตนิิติธรรม (เิิอ่ยชื่อคุณพ่อของท่านแทน)...” พอพูดออกไปแล้วจึงนึกได้ว่าพลาดไปแล้ว ก็เลยรีบแก้ไขทันทีว่า ” ...นายกสมาคมสว่างบริบูรณ์ฯซึ่งกำลังเดินทาง แต่ขณะนีุ้คุณชาญศักดิ์ ชวลิตนิติธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรี ในฐานะคนของประชาชนเดินทางมาถึงก่อน”

เมื่อผู้ฟังออกอาการ...ไม่ฟัง...เบื่อ...หลับ
ใน งานบางงานผู้ฟังหรือผู้ชมก็ช่างไม่ให้ความร่วมมือเสียเลย ผู้เขียนจะใช้วิธีดึงความสนใจด้วยการ ร้องเพลง เล่าเรื่องขบขัน แต่ไม่ใช่เรื่อตลกมาก ท่านต้องแยกให้ออกระหว่างเรื่องขบขันกับเรื่องตลก หรือบางทีอาจจะร้องลำตัด ร้องลิเกสอดแทรกขึ้นมา หรืออาจจะให้ผู้ฟังลุกขึ้นขยับแข้งขาด้วยการออกำลังกายดูบ้างก็ช่วยได้มาก

เมื่อต้องเป็นพิธีกรจำเป็น
อัน ที่จริงเราก็คุ้นเคยกับการเป็นพิธีกรกันอยู่แล้ว แต่ผู้เขียนเคยเจอสถานการณ์ ต้องเป็น “พิธีกรจำเป็น” คือในงานบางงานเราไปในฐานะผู้ร่วมงานแต่พอถึงเวลาเจ้าภาพจะเข้ามาบอกว่า “ช่วยหน่อยนะ ช่วยเป็นพิธีกรให้พี่หน่อย” ถ้าถามความรู้สึกจริงๆ ผู้เขียนก็สุดจะเซ็งกับเหตุการณ์แบบนี้ แต่วิธีแก้ไขก็ต้องยิ้มเข้าไว้ การปฏิเสธคงเป็นไปได้ยาก แล้วรีบสอดส่ายสายตาหาบุคคลที่สามซึ่งเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับการพูดให้พูดแทน โดยอาจจะแนะนำเจ้าของงานว่า “วันนี้ตั้งใจมาแสดงความยินดีกับพี่แล้วก็จะรีบกลับ เพราะติดงาน(แล้วแต่จะอ้างให้ดูสมเหตุสมผล) จะอยู่พูดให้ได้ไม่ตลอดพี่ลองไปเชิญคุณ... ช่วยพูดดีไหมคะ นั่นไงคะนั่งอยู่ตรงนั้น” แล้วก็ทำท่าทางของท่านให้เร่งรีบเพื่อขอตัวกลับ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆก็ต้องทำใจ.....ช่วยกันหน่อยก็แล้วกัน คิดเสียว่า หากเขาไม่ไว้ใจเราเขาก็คงไม่ให้เราเป็นพิธีกร เพราะฉะนั้นก็ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุดก็แล้วกัน... แต่็ก็หวังว่าอย่าได้เจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยนักเลย

ทั้ง หมดที่เล่าสู่กันฟังนี้ เป็นเพียงปัญหาเฉพาะหน้าที่พิธีกรทุกคนมักจะต้องมีโอกาสพบบ่อยที่สุด ความจริงยังมีปัญหาปลีกย่อยอีกมากมาย แต่จะไม่ขอนำมากล่าวไว้ ก็เลยตัดสินใจเลือกเฉพาะปัญหาที่ทุกท่านจะมีโอกาส พบมากที่สุดมาฝากไว้

ความรู้พื้นฐานที่พิธีกรควรรู้


ใน สมัยก่อนเรามักจะได้ยินคำเรียกขานผู้ทำหน้าที่พูดหรือดำเนินรายการสำหรับ กิจกรรมต่างๆ ที่หน่วยงานหรือองค์กรจัดขึ้นว่า “โฆษก” เช่น โฆษกงานวัด โฆษกงานแต่งงานโฆษกสถานีวิทยุ โฆษกโทรทัศน์ เหล่านี้ เป็นต้น
ต่อมาโฆษก สถานีวิทยุ หรือโทรทัศน์จะมีคำเรียกว่า “ผู้ประกาศ” แทนโดยสรุปก็คือเราจะได้ยินอยู่ 2 คำนี้ คือ “โฆษก” และ “ผู้ประกาศ” ในระยะหลังๆ จึงปรากฏมีผู้ใช้คำว่า “พิธีกร” เพิ่มมาอีก 1 คำ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน เรามาศึกษาดูความหมายของคำทั้ง 3 คำนี้กันสักหน่อย
โฆษก
“โฆษก” เป็นคำที่มาจากภาษาบาลี-สันกฤตว่า “โฆษก” ซึ่งในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Announcer” หรือ “Spokeman” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายไว้ว่าผู้ประกาศ,ผู้โฆษณา เช่น โฆษณาสถานีวิทยุ : ผู้แถลงข่าวแทน เช่น โฆษกพรรคการเมือง จะเห็นว่า แต่เดิมในบ้านเมืองเรา จะใช้คำว่า “โฆษก” กันเป็นอย่างเดียวเป็นส่วนใหญ่สนามมวย ผู้ประกาศ หรือผู้โฆษณาในทุกงานและทุกอาชีพ เช่น ตามสถานีวิทยุโทรทัศน์ ก็จะเรียกว่า โฆษกวิทยุ โฆษกโทรทัศน์ ผู้ประกาศในการแข่งขันชกมวย ก็เรียกว่า โฆษกสนามมวย ผู้ประกาศตามงานวัดก็เรียกว่า โฆษกงานวัน ผู้ประกาศในงานแต่งงาน ก็เรียกว่า โฆษกงานแต่งงาน สรุปว่าเมื่อต้องประกาศ หรือบรรยายในงานใดๆ ก็จะเรียกว่า โฆษกตามลักษณะของงานนั้น
ผู้ ทำหน้าที่โฆษกบางครั้งก็จะปรากฏตัวให้ผู้มาร่วมงานเห็น บางครั้งก็จะส่งแต่เสียงออกมาอย่างเดียว โฆษกจะพูดไปได้เรื่อยๆ เท่าที่มีเวลา และอาจจะแทรกความคิดเห็นของตนเพิ่มเติมในการพูดได้ การพูดของโฆษกค่อนข้างอิสระ ยกเว้น โฆษกรัฐบาล หรือโฆษกพรรคการเมือง หรือโฆษกตามตำแหน่งที่หน่วยงานแต่งตั้งขึ้น การพูดจะค่อนข้างเป็นทางการ และต้องปรากฏตัวให้ผู้ฟังเห็นในขณะพูด
ผู้ประกาศ ใน ส่วนของความหมายโดยตรงไม่มีระบุในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2525 แต่ระบุว่าโฆษก หมายถึงผู้ประกาศ ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้นำคำว่า “ผู้ประกาศ” มาใช้แทนโฆษก แต่มักจะใช้เรียกโฆษกทางสถานีวิทยุโทรทัศน์มากกว่า เช่น ผู้ประกาศข่าววิทยุ ผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ต่อมามักจะเรียกว่า “ผู้อ่านข่าว” ตามลักษณะงานที่ทำ

ตามความคิดเห็นของผู้เขียนแล้ว ผู้ประกาศ และโฆษกมีความหมายเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ลักษณะงานที่ทำ นั่นคือ ผู้ประกาศจะทำหน้าที่บอกเรื่องราวเหตุการณ์ที่กำหนดจัดเรียงข้อความตามลำดับ มาแล้วเพื่อสื่อให้ผู้ฟังชมทราบ แต่จะไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ เช่น การประกาศรายงานสภาพอากาศ การประกาศรายงานสภาพการจราจร การประกาศข่าวของทางราชการ เป็นต้น ผู้ประกาศจะแสดงตัวให้ผู้ฟังผู้ชมเห็นตัวหรือไม่ก็แล้วแต่สถานการณ์หรือ ลักษณะงาน
พิธีกรพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายไว้ว่า ผู้ดำเนินการในพิธี, ผู้ดำเนินรายการ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Master of Ceremonies” หรือที่นิยมเรียกกันว่า “MC”

จากความหมายดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่า พิธีกรจะต้องทำหน้าที่ดำเนินการตั้งแต่เริ่มงานจนจบงาน ต้องมีความสามารถในการจัดลำดับขั้นตอนของงานได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับ บรรยากาศ ลักษณะงานของพิธีกรจึงมีทั้งลักษณะที่เป็นทางการ เช่น พิธีกรในงานพระราชทานเพลิงศพ การสัมภาษณ์บุคคลสำคัญในรายการโทรทัศน์ หรือลักษณะที่ไม่เป็นทางการหรือกึ่งทางการ เช่น พิธีกรดำเนินรายการเกมโชว์ต่างๆ พิธีกรในการประกวดนางงาม พิธีกรในงานแต่งงาน เป็นต้น โดยปกติพิธีกรจะต้องพูดโดยให้ผู้ฟังดูเห็นตัวด้วย
ตาม ความเห็นของผู้เขียน เห็นว่า โฆษก ผู้ประกาศ และพิธีกร มีความหมายที่คล้ายคลึงกันต่างกันก็ตรงลักษณะงานที่ทำ แต่หากพิจารณาความหมายของพิธีกร แล้วดูจะกินความครอบคลุมคำว่า โฆษก และผู้ประกาศไปด้วย ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า โฆษก และผู้ประกาศ เป็นงานส่วนหนึ่งพิธีกรนั่นเอง

ดังนั้น ผู้เขียนจึงระบุในหนังสือนี้ว่า กลยุทธ์การเป็นพิธีกร ซึ่งหมายรวมการทำหน้าที่ของพิธีกรในฐานะโฆษก และผู้ประกาศด้วย

การเตรียมความพร้อมของพิธีกร


“การ เตรียมความพร้อมมาอย่างดีเท่ากับได้ชัยชนะมาครึ่งหนึ่งแล้ว” คำกล่าวนี้ทำหน้าที่พิธีกรทุกคนควรจะตรึกระลึกเพื่อเตือนตนเองอยู่เสมอ เพราะการเตรียมความพร้อมที่ดีจะช่วยให้การทำหน้าที่ของพิธีกรราบรื่น และยังเป็นการเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่พิธีกรอีกด้วย หากเป็นเช่นนี้..แล้วเราควรจะเตรียมความพร้อมอย่างไรบ้างในฐานะพิธีกร ? จะขอกล่าวแยกเป็น 3 ประเด็นใหญ่ๆ ดังนี้
การเตรียม...เพื่อสะสมความรอบรู้เสน่ห์ ของพิธีกรก็คือความรู้ในเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการพูดแต่ละครั้งซึ่งมิได้หมายความเฉพาะการรู้เจาะลึกใน เรื่องราวที่จะพูดโดยตรงเท่านั้น หากแต่เป็นการรอบรู้เรื่องราวที่สามารถขยายโลกทัศน์ของผู้ฟังให้เกิดความรู้ ความเข้าใจกว้างขวางขึ้น และเป็นสิ่งที่สามารถเชื่อมโยงกับเรื่องราวหรือบรรยากาศ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสาระการพูดนั้นๆ ด้วย ในส่วนของการสะสมความรอบรู้ จะขอแบ่งออกเป็น 2 ประการ ได้แก่
1. ความรอบรู้ในเรื่องราวที่จะพูดโดยตรง สมมติว่าท่านต้องทำหน้าที่พิธีกรในงานพระราชพิธีต่างๆ เช่น พระราชพิธี 5 ธันวามหาราช หรืองานพิธีการที่มีพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จหรืองานที่มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นประธาน เหล่านี้เป็นต้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านจะต้องรู้จักใช้คำราชาศัพท์ หรือคำพูดให้เหมาะสมกับลำดับชั้นของบุคคล
นอกจากนี้ หากท่านต้องเป็นพิธีกรงานแต่งงาน งานบวช งานศพ งานเลี้ยงส่ง ฯลฯ ท่านจะต้องศึกษาการพูดตามวัฒนธรรมของแต่ละงานให้ถูกต้อง ผู้เขียนเคยไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพ พิธีกรในวันนั้นคงจะตั้งใจมากเมื่อถึงเวลาที่ผู้อัญเชิญหีบเพลิงพระราชทานมา ถึง พิธีกรก็กล่าวขึ้นว่า “วันนี้นับเป็นศิริมงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานหีบเพลิง.....” แขกหรือในงานทั้งอมยิ้ม ทั้งอึ้งไปตามๆ กัน เพราะอันที่จริงแล้วงานศพถือเป็นงานอวมงคลที่ถูกน่าจะพูดว่า “วันนี้นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานหีบเพลิง เพื่อประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพแก่......”

หากท่านต้องทำหน้าที่พิธีกรงานประเพณีต่างๆ เช่น งานลอยกระทง งานทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ งานประเพณีสงกรานต์ หรือทำหน้าที่พิธีกรในวันสำคัญทางศาสนาเหล่านี้ เป็นต้น ท่านจะต้องศึกษาที่มาที่ไปของงานนั้น ๆ ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นประวัติของงาน จารีตประเพณี รวมทั้งกิจกรรมที่นิยมกระทำในงานนั้น ๆ ด้วย ไม่ใช่ว่ามาทำหน้าที่อ่านกำหนดการจัดงานอย่างเดียวเท่านั้น ความรอบรู้อย่างลุ่มลึกในสาระเรื่องราวที่เกี่ยวกับการพูดของท่านโดยตรง ถือเป็นกฎเหล็กของการทำหน้าที่พิธีกรเลยก็ว่าได้ (ความเห็นของผู้เขียน) เพราะฉะนั้นการทำหน้าที่ของท่านก็จะเป็นเพียง “ผู้ส่งเสียงบอก” เท่านั้น
2. ความรอบรู้ในเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับการพูด หากจะเปรียบการพูดเหมือนอาหารแล้ว เมื่อใดที่ผู้บริโภค คือ ผู้ฟังต้องรับประทานข้าวเปล่าโดยไม่มีกับข้าวหรือน้ำดื่มเพื่อทำให้กระบวน การรับประทานครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว อาหารมื้อนั้นก็คงจะฝืดคอเต็มที สาระที่พิธีกรพูดก็เช่นกัน หากเป็นเพียงเนื้อโดยไม่มีน้ำบ้างก็ดูกระไรอยู่ ขอขยายความตรงนี้ว่า สมมติท่านต้องทำหน้าที่พิธีกรงานลอยกระทงบริเวณชายหาดพัทยา แน่นอนท่านต้องพูดเรื่องราวประวัติความเป็นมาของประเพณีลอยกระทง และกิจกรรมที่กระทำให้วันนี้ ส่วนนี้ คือ ความรอบรู้ในสาระที่พูดโดยตรงซึ่งตรงกับข้อความประการแรกที่กล่าวข้างต้น แต้ถ้าหากท่านเพิ่มเติมเรื่องราวของการลอยกระทงในทะเลว่ามีความแตกต่างอย่าง ไร กับการลอยกระทงในน้ำจืด หรือถ้าท่านพูดถึงเกร็ดย่อยๆ อื่น เช่นความเป็นมาของเพลงลอยกระทงเพิ่มเติมขึ้นมา ส่วนนี้คือ ความรอบรู้ตามความหมายในข้อความประการที่สอง
ตัวอย่าง คำพูดของพิธีกรในงานลอยกระทง“..... ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านคะ ประเพณีลอยกระทงเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล หลายท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ โดยเฉพาะเด็ก ๆ และเยาวชนอาจจะยังไม่ทราบว่าประเพณีลอยกระทงมีความเป็นมา ซึ่งปรากฏตามเอกสาร หรือหนังสือที่นำมาเป็นข้อมูล ”
จากตัวอย่างเป็น การพูดแสดงความรอบรู้ในเรื่องราวโดยตรง เพราะพูดถึงความเป็นมาของประเพณี ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลสากลทางวัฒนธรรมในสังคมของไทย “....ทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวความเป็นมาของประเพณีลอยกระทง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมประเพณีคู่ชาติไทยมาเนิ่นนาน แต่ท่านผู้มีเกียรติงานประเพณีลอยกระทง เราจะพบเห็นว่าจะลอยกระทงกันในแม่น้ำลำคลองเป็นส่วนใหญ่ แต่คืนวันนี้เมืองพัทยา เราจะลอยกระทงกันในท้องทะเลซึ่งเป็นบรรยากาศที่แตกต่างจากการลอยกระทงในแม่ น้ำลำลอง น้ำทะเลจะขึ้นเต็มที่ก็ต้องร่วม 24 นาฬิกา หรือ 6 ทุ่มไปแล้ว ซึ่งนี้ก็เป็นธรรมชาติของทะเลคือเพ็ญ เดือน 12 เพราะฉะนั้นถ้าจะลอยกระทงให้ได้บรรยากาศก็ต้องรอให้น้ำขึ้นเต็มที่ ดิฉันคิดว่าธรรมชาติเอื้ออำนวยกับชาวพัทยาจริงๆ ตอนนี้ขอเชิญชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม 4 ภาค ก่อนค่ะ..…” จะเห็นได้ว่า การขยายความเกี่ยวกับลักษณะธรรมชาติการลอยกระทงที่ชายหาดพัทยาเป็นการพูด แสดงความรอบรู้ในเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่อง เป็นการเพิ่มสีสันของการพูดให้น่าสนใจยิ่งขึ้นเหล่านี้เป็นต้น
นอกจากนี้ พิธีกรจะต้องทันเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น ชื่อ – ตำแหน่งของบุคคลที่เอ่ยถึงต้องเป็นปัจจุบัน หากไม่มั่นใจก็ควรเอ่ยเฉพาะตำแหน่งจะเหมาะกว่า เช่นสมมุติว่ามีนายอำเภอเพิ่งย้ายมาใหม่ ท่านไม่แน่ใจว่านายอำเภอชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร ก็เอ่ยเพียงตำแหน่งก็เพียงพอ เพราะหากพูดชื่อ – นามสกุลผิดไปจะทำให้เสียหายมากกว่าได้ดี
ผู้เขียนขอเสนอแนะว่า พิธีกรควรจะจัดทำแฟ้มข้อมูลส่วนตัวเพื่อเก็บสะสมรายละเอียดสาระที่จะเป็น ข้อมูลในการพูด สิ่งเหล่านี้จะเป็นวัตถุดิบในการพูดให้เป็นอย่างดี สำหรับผู้เขียนเองจะมีแฟ้มชื่อว่า “ล้วนสาระ” ไว้เก็บวัตถุดิบทางการพูดไว้ เมื่อถึงคราวจะพูดก็จะหยิบขึ้นมาใช้ได้ทันทีโดยเฉพาะข้อมูลที่เราต้องพูดตาม กาลเวลา เช่น งานลอยกระทง งานสงกรานต์ เป็นต้นการเตรียม.....จัดสาระและขั้นตอน ในการทำหน้าที่แต่ละครั้งของพิธีกรจะต้องวางแผนอย่างรัดกุมและครอบคลุมทั้ง สาระเรื่องราวที่จะพูดและขั้นตอนต่างๆ เพราะโดยทั่วไปพิธีกรซึ่งเป็นคนในหน่วยงาน หรือองค์กรที่ได้รับมอบหมายให้พูด หรือถูกเชิญไปพูดมักจะไม่มี “จัดการ” ดูแลรายละเอียดต่างๆ ให้ ซึ่งถ้าเป็นกรณีผู้มีอาชีพพิธีกรโดยเฉพาะตามรายการโทรทัศน์ หรือบางงานอาจว่าจ้างบริษัทมาดำเนินการให้ เช่น งานแสดงคอนเสิร์ต งานประกวดนางงาม เหล่านี้เป็นต้น ลักษณะนี้จะมีการจัดเตรียมทีมงานเขียนบทพูด (Script) และจัดขั้นตอนรายการให้เสร็จสรรพก็ถือว่าเป็นกรณีพิเศษไป แต่อย่างไรก็ตามพิธีกรก็ไม่ควรประมาท และเตรียมความพร้อมของ “สาระ” ให้ดี คำว่า “สาระ” ในที่นี้ความหมายรวมถึงลำดับขั้นตอนการพูด และโครงสร้างของงานทั้งหมดด้วย ซึ่งมีข้อแนะนำ ดังนี้
1) ต้องหาข้อมูลว่าเราจะไปพูดงานอะไร สถานที่หรือบรรยากาศของงานเป็นอย่างไรมีใครเป็นประธานในงาน ผู้ฟังเป็นใคร มี่จำนวนมากน้อยแค่ไหน จะต้องใช้เวลาทำหน้าที่นานเท่าใด จากนั้นต้องนำมาวางแผนการพูดเพื่อให้ “ฟังสบายหู ดูสบายตา พาสบายใจ” พิธีกรหลายคนต้องประสบสภาวะ “ตกม้าตาย” เพราะความไม่รอบคอบ เช่น การพูดในที่กลางแจ้งกับการพูดในห้องประชุมบรรยากาศก็ต่างกันแล้ว ห้องแอร์ที่เย็นสบายกับห้องที่มีพัดลมแต่อบอ้าวก็เป็นปัญหาในการพูด เมื่อรู้ข้อมูลทั่วๆ ไป ดังกล่าวแล้วก็เตรียมนำมาจัดขั้นตอนการทำหน้าที่เพื่อให้เกิดความพรั่งพรู ทั้งภาษา และลีลาการพูด
2) ควรจัดทำกำหนดการของงานไว้คร่าวๆ ว่าใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร หากบางงานเจ้าของงานเตรียมกำหนดการขั้นตอนไว้แล้วก็ต้องขอข้อมูลเหล่านั้นมา ศึกษาก่อน และสอบถามพูดคุยจนเป็นที่เข้าใจตรงกันกับเจ้าของงานหรือผู้รับผิดชอบ ถ้าหากเจ้าของงานไม่จัดเตรียมขั้นตอนของงานไว้แน่นอนที่สุด พิธีกรต้องจัดเตรียมให้และชี้แจงให้เจ้าของงานรับทราบแลเห็นชอบ บางงานเจ้าของงานจะเตรียมขั้นตอนเสียเยินเย้อ พิธีกรต้องช่วยให้คำแนะนำด้วย
3) ต้องศึกษาโครงสร้างของการพูดแต่ละงานให้ถ่องแท้ งานที่เป็นทางการ เช่น งานพระราชทานเพลิงศพ งานที่ไม่เป็นทางการหรืองานกึ่งทางการโครงสร้างของการพูดจะแตกต่างกัน
ดัง นั้น จะเห็นว่า พิธีกรจะต้องมีความเชี่ยวชาญทั้งด้านการพูด การจัดลำดับขั้นตอนของงานไปพร้อมๆ กัน เพราะพิธีกร คือ ผู้ที่สร้างสรรค์บรรยากาศของงานโดยแท้จริง พิธีกร คือ คนแรกที่ต้องพูด และเป็นคนสุดท้ายที่ต้องพูดในงานทุกครั้ง
การเตรียม.....เพื่อการศึกษาเมื่อ เตรียมกระบวนท่าพร้อมลงสู่สนามตามข้อแนะนำต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นมาแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนของการเตรียมบรรเลงกระบวนท่า และลีลาให้สมกับผู้ทำหน้าที่พิธีกร ซึ่งจะแยกประเด็นเป็น 2 วาระ ดังนี้
1) เตรียมตัวก่อนทำหน้าที่ ทุกครั้งก่อนที่จะขึ้นทำหน้ามี่พิธีกรควรวางแผนเตรียมการอย่างรัดกุม สำหรับผู้เขียนเองโดยปกติจะเตรียมตัวเป็น 2 ระยะ ดังนี้
1.1 การเตรียมตัวระยะยาว ซึ่งอาจจะเป็นการเตรียมการตั้งแต่ก่อนทำหน้าที่ตั้งแต่ 6 ชั่วโมงขึ้นไป บางงานที่มีความสำคัญเป็นพิเศษ เช่น การทำหน้าที่ต่อเบื้องพระพักตร์พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้เขียนจะต้องใช้เวลาเป็นเดือน (หากทราบล่วงหน้าเป็นระยะยาว) แล้วเตรียมอะไรบ้าง
1.1.1 ศึกษาขั้นตอนกำหนดงาน และพยายามศึกษาจากงานต่างๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยอาจดูจากตามรายการโทรทัศน์ทั้งนี้เพื่อศึกษารูปแบบของงาน และลีลาการพูด รวมทั้งภาษาพูดของพิธีกร

1.1.2 ศึกษาหาข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับงานนั้นๆ โดยการอ่านหนังสือตำราที่เกี่ยวข้อง หรือพูดคุยจากบรรดาผู้รู้ทั้งหลาย
1.1.3 จัดทำสรุปข้อมูลย่อๆ ในรายละเอียดต่างๆ ที่จะนำมาเป็นวัตถุดิบในการพูด
1.1.4 บางกรณีเจ้าของงานจะยังไม่ได้จัดเตรียมกำหนดการขั้นตอนของงานไว้หรือเตรียมไว้แต่ดูยังไม่เหมาะสมพิธีกรต้องช่วยแนะนำด้วย
1.1.5 วางแผนเรื่องการแต่งกายให้เหมาะสม
1.2 การเตรียมตัวระยะสั้น หมายถึง การเตรียมตัวในวันที่จะทำหน้าที่ส่วนนี้ ถือว่า สำคัญยิ่งกว่าการเตรียมตัวในระยะแรก สำหรับผู้เขียนจะเตรียมการ ดังนี้
1.2.1 ไปถึงงานอย่างน้อย ที่สุด 1 ชั่วโมง หรือหากขัดข้องจริงๆ จะต้องไปถึงงานอย่างน้อย 30 นาที ก่อนถึงเวลาเริ่มงาน เพื่อดูความพร้อมของงาน และฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
1.2.2 เดินสำรวจบริเวณงานโดยเฉพาะเวที หรือบริเวณที่เราจะต้องยืนพูดเราจะต้องลองเดินขึ้นลงบริเวณเวที และสังเกตว่าบันไดเป็นอย่างไร ขั้นบันไดสูงชันหรือไม่ พื้นเวทีเรียบหรือไม่ การก้าวเดินของเราจะต้องมีเส้นทางอย่างไรจะขึ้นเวทีด้านใดเหล่านี้เป็นต้น
1.2.3 หากจะต้องยืนพูดที่แท่นพูด (Podium) จะต้องลองไปยืนดูและสังเกตว่าความสูงของเราเหมาะสมหรือไม่ ต่ำไปหรือสูงไป หากต่ำไปควรรีบจัดการหาอุปกรณ์ช่วยเสริม เช่น ลังน้ำอัด ขอแนะนำว่าควรหาผ้าคลุมลังด้วยเพราะลังจะมีลักษณะเป็นช่อง เมื่อเราขึ้นไปยืนรองเท้าส้นสูงอาจจะไปติดค้างในช่องได้ หากเราสูงเกินไปอาจจะแก้ไขโดยอะไรรองใต้ขาไมค์โครโฟนก็พอจะช่วยได้ สิ่งที่ต้องระวังอีกอย่างก็คือ บรรดาช่อดอกไม้หน้า Podium อย่าให้บังหน้าตาขณะที่พูดต้องรีบแก้ไขโดยด่วนก่อนทำหน้าที่ บริเวณ Podium มีแสงสว่างพอหรือไม่ต้องตรวจสอบให้เรียบร้อย
1.2.4 ศึกษาอุปกรณ์เครื่องเสียงต่างๆ จากเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุม ต้องทดลองดูว่าเสียงชัดเจนหรือไม่ ไมโครโฟนบางแบบบางรุ่นมีคุณภาพต่างกัน เช่น บางรุ่นพูดห่างประมาณ 1 คืบ เสียงได้ยินชัด บางรุ่นต้องดึงมาใกล้ปากเหมือนนักร้องเสียงจึงจะชัดเจน
1.2.5 เมื่อตรวจสภาพความพร้อมของบริเวณและอุปกรณ์แล้ว ควรหาแนวร่วม เพื่อส่งเสริมบรรยากาศยอมรับการพูดของเรา นั่นคือ อาจจะหาโอกาสพูดคุยกับผู้คนในงานเพื่อทำความรู้จักและสร้างสายสัมพันธ์ก่อน พูด เมื่อถึงเวลาทำหน้าที่จะช่วยสร้างความคุ้นเคยกันระหว่างผู้พูดและผู้ฟังได้ แต่อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าวอาจจะไม่ใช่กับการทำหน้าที่ทุกงาน
2) การเตรียมตัวขณะทำหน้าที่ เมื่อพิธีกรเริ่มทำหน้าที่นับแต่วินาทีแรกจนกระทั่งสิ้นสุดงาน นับเป็นการลงสนามแล้ว ทุกกิริยาอาการ ทุกคำพูด คือ ภาพลักษณ์ของความสำเร็จที่ผู้ฟังผู้ชมสมหวัง ถึงจุดนี้พิธีกรต้องทำอย่างไร เพื่อให้ดูดีที่สุดสูตรสำเร็จก็คือ ต้องทำให้ผู้ฟังผู้ชมรู้สึก “ฟังสบายหู ดูสบายตา และพาสบายใจ” ผู้เขียนมีข้อแนะนำจากประสบการณ์ตรง ดังนี้
2.1 เมื่อถึงเวลาต้องพูด การก้าวเดินออกไปยังเวทีหรือจุดที่พูดต้องเดินไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ก้มหน้าดูปลายเท้า หรือพื้นขณะเดิน หรือเดินเชิดหน้าคอตั้งจนเกินไป เวลาเดินต้องดูกระฉับกระเฉง แต่ไม่ต้องถึงขนาดวิ่งออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน ยกเว้น บางงานจะกำหนด Script ไว้ การยืนต้องตัวตรงหลังตรง ถ้านั่งพูดก็ต้องนั่งให้สง่าไม่นั่งไขว่ห้าง หรือนั่งแกว่งแข้งขา
2.2 หากเป็นไปได้ถ้าต้องยืนพูดที่ Podium ควรนำเอกสารข้อมูลการพูดไปว่างไว้ก่อน เวลาเดินขึ้นไปจะได้ไม่ต้องหอบอะไร พะรุงพะรัง
2.3 ขณะพูดต้องมองหน้าผู้ฟังแบบกวาดสายตา ไม่ใช่จ้องอยู่ที่เดียว อย่าก้มอ่านเสียจนไม่เงยหน้า
2.4 ต้องระลึกเสมอว่า พิธีกรคือคนพูดคนแรก และคนสุดท้ายของงาน ดังนั้น เมื่อเริ่มทำหน้าที่พิธีกรจะต้องสังเกตปฏิกิริยาของผู้ฟัง ตลอดเวลาว่าผู้ฟังเบื่อหน่ายหรือไม่ พิธีกรต้องหาวิธีการพูดให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่ดีขึ้นให้ได้ พิธีกรจะต้องยืนอยู่บริเวณใกล้เวทีเพื่อเตรียมทำหน้าที่อย่างต่อเนื่อง เช่น พิธีกรกล่าวเชิญประธานมากล่าวเมื่อเขากล่าวจบ พิธีกรต้องเข้าไปทำหน้าที่พูดทันที การปล่อยเวทีให้ว่างเปล่า และเงียบถือเป็นความรับผิดชอบของพิธีกร
เหล่านี้ เป็นเพียงขอแนะนำกว้างๆ เท่านั้น เพราะเมื่อทำหน้าที่จริงๆ จะมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของพิธีกรในการแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ความเชี่ยวชาญดังกล่าว เกิดได้จากการศึกษา การฝึกฝนอย่างจริงจัง และด้วยความรักในหน้าที่พิธีกรเท่านั้น

คำพูดในโอกาสต่างๆ เกี่ยวกับพิธีการ

ขอนำตัวอย่าง บางตอนในการใช้คำพูดที่เหมาะสมกับ ในบางโอกาส มานำเสนอ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจของผู้ที่ได้รับเชิญ ขึ้นพูดในพิธีการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
คำกล่าวอวยพรวันคล้ายวันเกิด
สวัสดีครับ ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ก่อนอื่นกระผมขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงาน วันคล้ายวันเกิดของเพื่อนกระผม เพื่อนของกระผมคนนี้ชอบพอและสนิทสนมกันมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ๆ แล้วครับ ท่านเป็นคนที่มีอัธยาศัยไมตรีและมีมนุษย์สัมพันธ์ดีมากคนหนึ่ง ใจคอกว้างขวาง โอบเอื้ออารีย์ เป็นที่ยอมรับของเพื่อน ๆ และคนที่รู้จักมักคุ้นโดยทั่วไป เมื่อมีการจัดงานคล้ายวันเกิดของเพื่อนคนนี้ในแต่ละครั้ง ถ้าไม่ติดธุระจำเป็นจริง ๆ แล้วกระผมจะมาร่วมงานด้วยทุกครั้งเช่นกัน
เพื่อนคนนี้ นอกเหนือจากเป็นคนดี มีอัธยาศัยไมตรีที่ดี เป็นที่น่านับถือของเพื่อน ๆ และคนอื่น ๆ แล้ว ยังเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่บุตรหลานของท่านอีกด้วย
ในโอกาสนี้ กระผมขออวยพรให้เพื่อนรักของกระผมคนนี้ จงมีอายุมั่นขวัญยืน มีความสุขความเจริญ อีกทั้งเจริญก้าวหน้า ทั้งในหน้าที่ราชการและงานส่วนตัวยิ่ง ๆ ขึ้นไป


คำกล่าวตอบรับของเจ้าภาพวันคล้ายวันเกิด
สวัสดีครับ ท่านประธานและแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน กระผมรู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ท่านประธานและแขกทุกท่าน ได้ให้เกียรติมาร่วมอวยพรในวันคล้ายวันเกิดของกระผม ในโอกาสนี้ ขอเชิญทุกท่านดื่มและรับประทานอาหารตามสบายโดยไม่ต้องเกรงใจ หากมีข้อขัดข้องผิดพลาดด้วยประการใด ๆ เนื่องจากดูแลและบริการไม่ทั่วถึง กระผมขอน้อมรับความผิดไว้แต่เพียงผู้เดียวและขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ในโอกาสหน้าจะพยายามปรับปรุง แก้ไข ให้ดีขึ้นกว่าเดิมและดียิ่ง ๆ ขึ้นไป….ขอบคุณมากครับ

คำกล่าวในงานมงคลสมรส
เรียนท่านประธาน และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน กระผมรู้สึกเป็นเกียรติและปลื้มปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับเชิญให้มาเป็นประธานในงานมงคลสมรสในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระผมมีความสนิทสนมกับเจ้าบ่าว ท่านนี้เป็นกรณีพิเศษ ท่านเป็นคนดี มีน้ำใจ คอยให้ความช่วยเหลือเพื่อน ๆ เวลามีปัญหาเรื่องงาน จนช่วยเหลือตนเองไม่ได้ก็ได้เพื่อนคนนี้คอยให้คำปรึกษาและให้ความช่วยเหลือ เสมอมา ยังระลึกถึงความดีไม่มีวันลืม
ชีวิตในการครองคู่นั้นถือกันว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ นอกจากนั้น ยังต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ ต้องมีความจริงใจซื่อตรงต่อกัน,เห็นอกเห็นใจมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ปรับนิสัยใจคอเข้าหากัน ไม่ควรใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหา ซึ่งอาจจะเป็นต้นเหตุให้ นาวาชีวิตต้องอับปางลง สุดท้ายนี้กระผมขออวยพรให้คู่บ่าวสาว จงครองรักกันด้วยความหวานชื่นราบรื่นและมีความสุขสมบูรณ์ตลอดไป ขอบคุณครับ

คำกล่าวตอบรับของคู่สมรส
เจ้าบ่าว
สวัสดีครับ ท่านประธานและแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน กระผมและเจ้าสาว รู้สึกเป็นเกียรติและซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ที่ทุกท่านได้กรุณาสละเวลาอันมีค่า มาร่วมงานมงคลสมรสของกระผมและเจ้าสาวในวันนี้ กระผมและเจ้าสาวต้องขอกราบขอบพระคุณในคำอวยพร ตลอดจนข้อคิดในการครองเรือน จะขอน้อมรับและนำไปเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันต่อไป
การจัดงานในวันนี้ หากมีสิ่งใดผิดพลาดหรือขาดตกบกพร่องกระผมและเจ้าสาวต้องกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
พรใดที่ท่านผู้มีเกียรติได้กรุณาอวยพรให้ ขอพรนั้นจงสนองตอบแด่ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านเป็นทวีคูณ……..ขอขอบคุณครับ

เจ้าสาว
สวัสดีค่ะ ท่านประธานและแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ดิฉันและเจ้าบ่าว รู้สึกเป็นเกียรติและซาบซึ่งใจอย่างยิ่ง ที่ทุกท่านได้กรุณาสละเวลาอันมีค่า มาร่วมงานมงคลสมรสของดิฉันและเจ้าบ่าวในวันนี้ ดิฉันและเจ้าบ่าวต้องขอกราบขอบพระคุณในคำอวยพร ตลอดจนข้อคิดในการครองเรือน จะขอน้อมรับและนำไปเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันต่อไป
การจัดงานในวันนี้ หากมีสิ่งใดผิดพลาดหรือขาดตกบกพร่องดิฉันและเจ้าบ่าวต้องกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
พรใดที่ท่านผู้มีเกียรติได้กรุณาอวยพรให้ ขอพรนั้นจงสนองตอบแด่ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านเป็นทวีคูณ……..ขอขอบคุณค่ะ


การกล่าวในงานขึ้นบ้านใหม่
ประธาน
สวัสดีครับ ท่านผู้มีเกิยรติทุกท่าน กระผมมีความยินดีและภูมิใจเป็นอย่างมาก ที่ท่านเจ้าของบ้านได้ให้เกียรติให้กระผมขึ้นมากล่าว ในงานขึ้นบ้านใหม่วันนี้ ทุกท่านในที่นี้ คงจะเห็นตรงกันกับกระผมว่าบ้านหลังนี้เพียบพร้อมไปด้วยความสวยงาม น่าอยู่ มีความร่มรื่น สะดวกสบาย
สำหรับตัวท่านเจ้าของบ้านนั้น คงจะเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ท่านเป็นผู้ที่มีใจโอบอ้อมอารี มีความมานะอุตสาหะขยันหมั่นเพียร ในหน้าที่การงานจนสามารถสร้างตนเป็นปึกแผ่น ปลูกสร้างบ้านอันสวยงามหลังนี้ขึ้นมาได้
และในวาระอันเป็นมงคลนี้ กระผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านเจ้าของ บ้านเคารพนับถือ โปรดช่วยดลบันดาลปกปักรักษา ให้ท่านเจ้าของบ้านและครอบครัวประสบแต่ความสุขความเจริญ มีอายุมั่นขวัญยืน ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง พบความสำเร็จยิ่ง ๆ ขึ้นไป…..ขอบคุณครับ


การกล่าวตอบรับในงานขึ้นบ้านใหม่
เจ้าของบ้าน
ท่านประธาน และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน กระผมรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมากที่ทุกท่านได้กรุณาให้เกียรติสละเวลาอันมี ค่า มาร่วมในงานขึ้นบ้านใหม่ของกระผมในวันนี้ขอกราบขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย
การที่กระผมสามารถมีวันนี้ขึ้นมาได้ ก็เพราะความรัก ความเมตตา ของท่านประธานและบรรดาแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน
คำอวยพรใด ๆ ที่ท่านกรุณาอวยพรให้กระผม ขอพรนั้นจงย้อนสนองตอบแด่ท่านประธานและแขก
ผู้มีเกียรติทุกท่านเป็นร้อยเท่าพันเท่า…………ขอบคุณมากครับ

การกล่าวในงานเลี้ยงส่ง
เพื่อนข้าราชการและท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ในวันนี้ กระผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติเป็นตัวแทนในการกล่าวอาลัยที่
จ.อ.สาธิต จรุงพัฒนานนท์ จะต้องไปรับราชการในหน่วยงานใหม่อันเป็นตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบสูงขึ้น กระผม กับ จ.อ.สาธิต จรุงพัฒนานนท์ มีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ในด้านการงาน ในหน้าที่ จ.อ.สาธิต จรุงพัฒนานนท์ เป็นผู้มีความรู้ความสามารถสูงและปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความขยันหมั่น เพียรมาโดยตลอด
ในการย้ายในครั้งนี้ คงนำความรู้ความสามารถของท่านไปพัฒนาหน่วยงานใหม่และในโอกาสข้างหน้า กระผมหวังว่าคงมีโอกาสได้ร่วมงานกันอีก
สุดท้ายนี้ กระผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์ทั้งหลาย อีกทั้ง ดวงพระวิญญาณของ พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จงดลบันดาลให้ จ.อ.สาธิต จรุงพัฒนานนท์ และครอบครัวประสบแต่ความสุข ความเจริญ ทั้งในหน้าที่ราชการและส่วนตัวยิ่ง ๆ ขึ้นไป

การกล่าวของผู้ย้าย
ท่านผู้บังคับบัญชา เพื่อนข้าราชการและผู้มีเกียรติทุกท่าน กระผมรู้สึกปลาบปลื้มและซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ท่านทั้งหลายเห็นความสำคัญจัดงานเลี้ยงส่งให้กับกระผม ขอถือโอกาสขอบคุณไว้ ณ ที่นี้
การจากไปของกระผมเป็นการไปเพื่อรับมอบตำแหน่งและหน้าที่การงานที่สูง
ขึ้นคิดว่าท่านทั้งหลายคงมีวันนี้เช่นกัน ถึงแม้ว่ากระผมจะไม่ได้ปฏิบัติงานอยู่ในหน่วยงานนี้แล้วก็ตาม หากมีปัญหาข้อขัดข้องที่ต้องการให้กระผมช่วยเหลือ กระผมยินดีรับใช้เสมอ
สุดท้ายนี้ พรอันใดที่ท่านผู้บังคับบัญชาอวยพรให้กับกระผม ขอให้พรอันประเสริฐนั้น จงย้อนกลับไปสนองยังท่านทั้งหลายและครอบครัวเช่นกัน


การกล่าวในงานเลี้ยงรับ
เรียน ท่านประธานเพื่อนข้าราชการที่รักทุกท่าน ในวันนี้ กระผมมีความรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้มีโอกาสขึ้นมากล่าวต้อนรับ จ.อ.สาธิต จรุงพัฒนานนท์ ตำแหน่ง ช่างหมวดซ่อมเครื่องควบคุมการยิงอาวุธปราบเรือดำน้ำ จรวด และอาวุธนำวิถี โรงงานซ่อมเครื่องไฟฟ้าอาวุธ ท่านเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถในการทำงานเป็นอย่างดี หน่วยงานของเรามีความยินดี เป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับท่านและทางเราหวังว่าท่านจะนำความรู้ ความสามารถของท่าน มาพัฒนาหน่วยงานของเราให้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานใกล้เคียงต่อไป


การกล่าวตอบในงานเลี้ยงรับ
เรียน ท่านประธาน เพื่อนข้าราชการทุกท่าน กระผม ขอขอบคุณมากที่ทุกท่านให้เกียรติจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้กระผมในครั้งนี้ กระผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเข้ามาปฏิบัติงานในตำแหน่ง ช่างหมวดซ่อมเครื่องควบคุมการยิงอาวุธปราบเรือดำน้ำ จรว ด และอาวุธนำวิถี โรงงานซ่อมเครื่องไฟฟ้าอาวุธ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับความเชื่อถือจากหน่วยงานข้างเคียง และมีชื่อเสียงมายาวนาน กระผมขอสัญญาว่า จะใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ให้ความร่วมมือต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน พัฒนาหน่วยงานของเราให้เจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกเท่าที่จะพึงกระทำได้ โดยเต็มความสามารถ

การกล่าวต้อนรับสมาชิกใหม่
เพื่อนข้าราชการที่รักทุกท่าน กระผม ขอกล่าวโดยย่อเกี่ยวกับหน่วยงานของเรา โดยสังเขป เดิมที่หน่วยงาน ของเรามีบทบาทต่อหน่วยงานข้างเคียงมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีความ สำคัญอยู่ บัดนี้ ผู้ช่วยนายทหารไฟฟ้าอาวุธ ฯ คนเก่าได้ย้ายไปปฏิบัติราชการยังหน่วยงานใหม่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น และกระผมก็ได้ผู้ช่วยนายทหารไฟฟ้าอาวุธ ฯ คนใหม่ ผู้มีความรู้ความสามารถที่จะมาช่วยพัฒนาให้หน่วยงาน ของเราเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก พร้อมทั้งเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานใกล้เคียง ในโอกาสนี้กระผมและข้าราชการทุกท่าน ขอต้อนรับผู้ช่วยนายทหารไฟฟ้าอาวุธ ฯ คนใหม่ด้วยความยินดี

การกล่าวมอบตำแหน่ง
เพื่อนข้าราชการ ฯ ทุกท่าน กระผมขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับ พ.จ.อ.ศุภวาร แสนฤทธิ์ ที่ได้รับตำแหน่ง ผช.นายทหารไฟฟ้าอาวุธ ร.ล.มกุฎราชกุมารเนื่องจากท่านมีความเหมาะสม ทั้งความรู้ความสามารถเพียบพร้อมในทุก ๆ ด้าน งานทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ เป็นงานที่หนักและมีความสำคัญยิ่ง กระผมหวังและมั่นใจว่าท่านจะสามารถทำงานในตำแหน่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบทุก ประการ ในโอกาสนี้กระผมขอมอบโล่ตำแหน่ง ผช.นายทหารไฟฟ้าอาวุธ ร.ล.มกุฎราชกุมาร คนใหม่ เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านสืบไป


การกล่าวรับมอบตำแหน่ง
ท่าน ผู้การ ฯ และ เพื่อนข้าราชการที่รักทุกท่าน การที่ ผช.นายทหารไฟฟ้าอาวุธ ร.ล.มกุฎราชกุมาร ท่านเดิม ได้มอบตำแหน่งนี้ให้กับกระผม กระผมรู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับตำแหน่งนี้ จากการที่ ผช.นาย-ทหารไฟฟ้าอาวุธ ร.ล.มกุฎราชกุมารคนเก่า ท่านได้ทำผลงานที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์แก่หน่วยงาน ฯ และเป็นที่ยอมรับของผู้บังคับบัญชาตลอดจนผู้ร่วมงาน กระผมจะสานงานต่อตามนโยบายที่ท่าน ผช.นายทหารไฟฟ้าอาวุธ ร.ล.มกุฎราชกุมาร ท่านเดิม ได้วางไว้อย่างต่อเนื่อง กระผมขอสัญญาว่าจะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ ที่ได้รับให้เจริญก้าวหน้าดียิ่งขึ้น และขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การต้อนรับกระผม อย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง ท้ายสุดนี้ กระผมขออำนาจคุณพระ-ศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก ตลอดจนดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จงคุ้มครองให้ท่านและเพื่อนข้าราชการทุกท่านจงมีแต่ความสุข ความเจริญในหน้าที่การงานและครอบครัวตลอดไป


การกล่าวแสดงความยินดีในโอกาสรับตำแหน่งใหม่
เพื่อนข้าราชการทุกท่าน กระผมในนาม หน.โรงงานซ่อมเครื่องไฟฟ้าอาวุธ ขอแสดงความยินดี ด้วยความจริงใจเป็นอย่างยิ่งที่
ร.อ.อนุ ยิ้มศรีใส ได้มารับตำแหน่งเป็น ประจำแผนกควบคุมการยิงปืน ซึ่งในตัวกระผมเคยได้ปฏิบัติงานร่วมกับ ร.อ.อนุ ยิ้มศรีใส มาแล้ว ท่านเป็นผู้มีความทุ่มเทและตั้งใจทำงานเป็นอย่างมาก ท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ จนเป็นที่ไว้วางใจของผู้บังคับบัญชา ให้มาดำรงตำแหน่งนี้
กระผมและเพื่อนข้าราชการทุกท่าน ขอต้อนรับ ร.อ.อนุ ยิ้มศรีใส เข้าสู่แผนกควบคุมการยิงปืน ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง และขออวยพรให้ท่านจงมีความสุข ความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานต่อไป


การกล่าวตอบรับตำแหน่งใหม่
เรียน ท่าน หน.โรงงานซ่อมเครื่องไฟฟ้าอาวุธ และเพื่อนข้าราชการที่รักทุกท่านก่อนอื่น กระผมต้องขอขอบคุณท่าน หน.โรงงานซ่อมเครื่องไฟฟ้าอาวุธ และเพื่อนข้าราชการทุกท่าน ที่ให้การต้อนรับกระผมเป็นอย่างดี กระผมรู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ บังคับบัญชา ให้มาดำรงตำแหน่ง ประจำแผนกควบคุมการยิงปืน ซึ่งประจำแผนก ฯ คนเดิมได้ปฏิบัติหน้าที่มาอย่างดีอยู่แล้ว เป็นที่รักใคร่ของผู้บังคับบัญชาและเพื่อนข้าราชการทุกคน กระผมขอน้อมรับตำแหน่งนี้ด้วยความยินดีและเต็มใจ กระผมจะตั้งใจทำงานและทำให้ภารกิจของแผนก เราสำเร็จลุลวงไปด้วยดี แต่กระผมคนเดียวคงทำให้งานสำเร็จไม่ได้ คงต้องอาศัยเพื่อนข้าราชการทุกท่านให้ความร่วมมือและเสนอแนะสิ่งต่าง ๆ แก่กระผมด้วย........ขอขอบคุณครับ


การกล่าวมอบประกาศนียบัตรสดุดี
เรียน ท่านประธาน และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน
เกียรติคุณประกาศฉบับนี้ เป็นเกียรติคุณประกาศที่จะมอบให้แก่ผู้ที่มีผลงานประดิษฐ์คิดค้นที่ดีเยี่ยม ทางคณะกรรมการบริหารสภาวิจัยแห่งชาติ ได้พิจารณาเห็นว่าผลงานประดิษฐ์คิดค้น เรื่อง “เครื่องปรับแต่งกล้องสองตาด้วยแสงเลเซอร์” ซึ่งเป็นผลงานประดิษฐ์คิดค้นที่พัฒนาเครื่องปรับแต่งกล้องให้เห็นแสงที่ส่อง เข้าไปในกล้อง โดยนำแสงเลเซอร์มาประยุกต์ในการใช้งานร่วมกับระบบแมกดานิกส์ ทำให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น ใช้งานง่าย มีประโยชน์อย่างมากสำหรับการปรับแต่งกล้องสองตา ซึ่งใช้กันมาในกิจการทหาร เนื่องจากการซ่อมบำรุงในอดีตใช้เวลานาน และเครื่องมือมีราคาสูง จึงเป็นการช่วยประหยัดงบประมาณของกองทัพเรือในการซ่อมบำรุง กล้องสองตา
คณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ จึงมีมติให้ผลงานเรื่องนี้ ได้รับรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปี ๒๕๔๕ ในโอกาสนี้จึงขอเรียนเชิญ ท่านประธาน สมศักดิ์ ใจดี กรุณามอบใบเกียรติคุณประกาศให้แก่ เรือเอก สมชาย นาคเกลี้ยง และ เรือเอก บัว เฉยสอาด เพื่อเป็นเกียรติประวัติสืบไป ขอเรียนเชิญ เรือเอก สมชาย และ เรือเอก บัว เฉยสอาด ครับ


การกล่าวไว้อาลัยผู้ตาย
เรียน ท่านประธาน และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ที่ได้ให้เกียรติมาในงานพระราชทานเพลิงศพ ของ คุณมงคล สร้อยทอง การจากไปของผู้ล่วงลับนำความเศร้าสลดมาสู่พวกเราทุกคนเป็นอย่างมาก และนับว่าได้สูญเสียบุคคลสำคัญของชาติไปท่านหนึ่งทีเดียว เพราะผู้ล่วงลับได้สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมเป็นอย่างมาก กระผมขอแสดงความเสียใจแก่ครอบครัวของผู้ล่วงลับ คือ คุณมงคล สร้อยทอง เป็นอย่างยิ่ง กระผมขอใคร่ให้ทุกคนเอาแบบอย่างอันดีของ คุณมงคล สร้อยทอง ไปปฏิบัติ เพื่อแทนการระลึกและอาลัยแก่ผู้ล่วงลับสืบไป และขอให้ท่านทั้งหลายร่วมจิตอธิฐานให้ดวงวิญญาณของท่านไปสู่สุคติ
สุดท้ายนี้ ขอเชิญท่านทั้งหลายลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่ผู้จากไปเป็นเวลา ๑ นาที...............เชิญนั่งครับ


การกล่าวแนะนำผู้พูด/องค์ปาฐก
เรียน ท่านประธาน และสวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน การที่เราจะเป็นนักพูดที่ดี เราจะต้องรู้ถึงเทคนิคในการพูด นักพูดจะมีปากเป็นอาวุธในการพูด การพูดต่อหน้าสาธารณชนบางครั้งทำให้เรารู้สึกตื้นเต้น ประหม่า ควบคุมตัวเองไม่อยู่ ไม่กล้าที่จะแสดงออก ไม่รู้จะเรียงร้อยถ้อยคำใดอย่างไร พูดอย่างไรให้เป็นกันเองกับผู้ฟัง ให้ผู้ฟังรู้สึกคล้อยตามคำพูดของเรา วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่ทางเราได้เชิญ “นักพูด ฝีปากกล้า” คนหนึ่ง ซึ่งมากด้วยประสบการณ์ในการพูด ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการ บริษัท อาดัม กรุ๊ป จำกัด ท่านเคยได้รับเข็มกลัดทองคำฝังเพชร “นักพูดดีเด่น” จากรายการ ทีวี-วาที ๙ ใหม่ มีผลงานสร้างสรรค์รายการโทรทัศน์ส่งเสริมความรู้ชุมชน คือรายการ “ผู้ใหญ่บ้านดำดี” ทางช่อง ๙ อสมท. และท่านยังมีผลงานด้านต่าง ๆ อีกมากมาย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาขอเชิญทุกท่านพบกับ อาจารย์ อภิชาติ ดำดี ได้แล้วครับ


การกล่าวสดุดีบุคคลสำคัญในอดีต
สวัสดี ท่านคณะครูนักเรียนหลักสูตรพันจ่านักเรียนทุกท่าน ประวัติศาสตร์ไม่ได้สร้างจากผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ หาแต่เกิดจากสามัญชน ประชาชนคนธรรมดาและมวลชนทุกข์ยากในแผ่นดิน
สืบ นาคะเสถียร หรือนามเดิมชื่อ “สืบยศ” เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๒ ที่ตำบล ท่างาม อำเภอ เมือง จังหวัด ปราจีนบุรี ได้เข้าศึกษาในคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในปี พ.ศ.๒๕๑๑ จบปริญญาโท สาขาวิชาวนวัฒน์วิทยา ในปี พ.ศ.๒๕๑๗ ในปี พ.ศ.๒๕๑๘ เขาได้เริ่มชีวิตข้าราชการ โดยบรรจุเข้ามาในตำแหน่งพนักงานป่าไม้ กองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ เขาตัดสินใจเลือกที่จะทำงานในกองนี้ เพราะต้องการทำงาน เกี่ยวกับสัตว์ป่ามากกว่า ในปี พ.ศ.๒๕๓๑ ได้กลับเข้ามารับราชการที่กองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๓๒ ได้เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าเขต รักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่ห้วยขาแข้ง งานวิจัยสัตว์ป่าเป็นงานที่สืบทำได้ดี งานด้านนี้เป็นชีวิต จิตใจ และเป็นจุดเริ่มต้นที่เขาผูกพันกับสัตว์อย่างจริงจัง สืบได้พยายามที่จะเสนอให้ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และห้วยขาแข้งมีฐานะเป็นมรดกของโลก โดยได้รับการยกย่องอย่างเป็นทางการ จากองค์การ สหประชาชาติ ฐานะดังกล่าวจะเป็นหลักประกันสำคัญที่คอยคุ้มครองป่าผืนนี้เอาไว้อย่างถาวร ป่าห้วยขาแข็งเป็นผืนป่าที่อุดมไปด้วยพรรณไม้และสัตว์ป่าอันล้ำค่า ทำให้หลายฝ่ายต่างก็จ้องบุกรุก หาผลประโยชน์ สืบได้แสดงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะรักษาป่าผืนนี้ ไว้ให้ได้ เขาได้ประกาศให้รู้ทั่วกันว่า “ผมมารับงานที่นี่ โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน” สืบพยายามที่จะปกป้องป่าห้วยขาแข้งอย่างเข้มแข็ง แต่ก็ ไม่อาจจะหยุดยั้ง การบุกรุกของกลุ่มที่แสวงหาผลประโยชน์ได้ การดูแลป่าขนาดหนึ่งล้านไร่ ด้วยงบ-ประมาณและกำลังคนที่จำกัด กลายเป็นภาระและสร้างความตึงเครียดให้กับสืบอยู่ตลอดเวลา และผู้มีอิทธิพลได้ทำการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ล่าสัตว์ในเขตป่าอนุรักษ์ หนทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้คือการสร้างแนวป่ากันชนขึ้นมา จากนั้นอพยพราษฎร ออกนอกแนวกันชน แต่การทำแบบนี้เป็นการที่จะทำให้ชาวบ้านสามารถเข้าไปหาผลประโยชน์ได้ สืบไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะเข้าไปจัดการเรื่องนี้ให้ปรากฏเป็นจริงเอง สืบผู้ซึ่งเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องรักษาป่าไม้ สัตว์ป่าและธรรมชาติ ด้วยกายวาจา พยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้ป่ายังเป็นป่าเหมือนเดิม เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่าต่อไป จนไม่ถึงความปลอดภัยของตัวเอง ทำงานโดยเอาชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน และนั้นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้สืบต้องจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวัน กลับ
ถึงแม้ตัวของท่านจะจากไปแต่ชื่อนามว่า “สืบ นาคะเสถียร” ยังคงฝากไว้กับแผ่นดิน และเราจะสืบทอดเจตนารมณ์ของท่านต่อไป
ขอให้พวกเราที่อยู่ ณ ที่นี้ทุกท่าน ได้ระลึกและจดจำสิ่งต่าง ๆ ของท่าน สืบ นาคะเสถียร ท่านจะอยู่ในใจของคนไทยไปชั่วนิรันดร
_________ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก บ้านมหาดอทคอม_________

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by I Love Fat