คน เราเมื่อทำอะไรแล้วประสบผลสำเร็จ แม้แต่เป็นเรื่องเล็กๆ เราก็ต้องภูมิใจในตัวเองไว้ก่อน เพราะมันจะเป็นการสร้างกำลังใจที่ดีให้กับตัวเอง และเป็นการคิดในแง่บวก (positive thinking) ทำให้เราไม่ท้อถอยเมื่อเจออุปสรรคต่างๆ คะ
เมื่อ ช่วงเช้าของวันที่ 10 มีนาคม 2551 ดิฉันก็มาทำงานตามปกติเหมือนอย่างทุกวัน พอมาถึง ปุ๊บ หัวหน้าของดิฉัน หรือ พี่แป๊ด (ที่ทุกท่านคงรู้จักกันดี) ก็พูดขึ้นปุ๊บว่า "บีวันนี้เป็นพิธีกร ด้วยนะ" ดิฉันก็คิดในใจทันที "ซวยแล้วเรา ยังไม่ได้เตรียมเป็นพิธีกรมาเลย อืม...เมื่อวานก็ลืมถามพี่เค้าด้วยว่าจะให้เราเป็นพิธีกรหรือเปล่า" แต่ก็ได้รับปากพี่เค้าไป เพราะคิดว่ายังงัยเราก็ต้องทำให้ได้ (The Show must go on) หลังจากนั้น ก็เลยรีบหยิบตัวโครงการฯ เพื่อจะร่างคำกล่าวเปิด และก็ฝึกพูดอีกนิดหน่อย เพราะมีเวลาไม่มากนักคะ
ก่อนอื่น ก็ขอเล่าความเป็นมาซักนิดนึงก่อนนะคะ เพื่อให้ทุกท่านไม่งงไปมากกว่านี้ คือ วันที่ 10 มีนาคม 2551 เวลา 13.00 - 16.00 น. เป็นวันที่ คณะวิทยาศาสตร์ ได้กำหนดให้มีเวทีเล่าสู่กันฟังในหัวข้อ " การจัดการความรู้กับการจัดการชุมชน ของ อบต.ท่าข้าม" เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่ได้ไปศึกษาดูงาน ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์จากตัวแทนกลุ่มที่ไม่ได้ไปศึกษาดูงานที่ อบต.ท่าข้าม คะ ซึ่ง ในวันนั้น ทางคณะวิทยาศาสตร์ ก็ได้เชิญท่านนายก อบต.ท่าข้าม มาร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย ซึ่ง ดิฉันรับหน้าที่เป็นพิธีกรในหลักสูตรนี้ (อย่างที่กล่าวไว้ตอนเริ่มต้น)
สำหรับ บรรยากาศของกิจกรรมในวันนั้นก็เป็นไปด้วยความสนุกสนานมาก เพราะตัวแทนของแต่ละกลุ่มที่ได้ไปศึกษาดูงาน ต่าง Present กันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะ กลุ่มที่ 1 ซึ่งตัวแทนภายในกลุ่มจะประกอบด้วย คุณธนทรัพย์ฯ , คุณจีราณีฯ และ คุณจุรีรัตน์ฯ ซึ่งแต่ละคน บอกได้เลยว่าพูดเก่งๆ กันทุกคน โดยเฉพาะคุณธนทรัพย์ฯ คะ ซึ่งทำหน้าที่ เป็นนักประชาสัมพันธ์ ของคณะวิทยาศาสตร์ เป็นคนที่พูดเก่ง และพูดได้เป็นธรรมชาติมาก (อยากพูดเก่งเหมือนพี่เค้ามั่งจัง) ทำให้บรรยากาศภายในงานมีแต่ความสนุกสนาน ในส่วนของท่าน นายก อบต.ท่าข้าม ดิฉันก็ประทับใจท่านเป็นอย่างมาก เพราะท่านได้ให้แง่คิดดีๆ เกี่ยวกับการจัดการความรู้ไว้หลายแง่คิด พอจะสรุปได้ดังนี้นะคะ
- ท่านบอกว่า ที่ อบต. ท่าข้าม นั้น ท่านบริหารงานแบบที่ให้ความสำคัญกับประชาชนทุกคน ทุกคนเสมอภาคต่อกัน และท่านก็เป็นคนทำงานแบบจริงจัง ไม่ใช่ทำงานแบบเรื่อยๆ เช้าชาม เย็นชาม โดยท่านให้เหตุผลว่า นายก อบต. มีวาระการทำงานแค่วาระละ 4 ปี ถ้าทำดีก็อาจจะได้เลือกให้เป็นนายก อบต. ต่อ หรือ ถ้าทำไม่ดีก็อาจจะไม่ได้รับเลือกมารับหน้าที่ต่อไป ดังนั้น ใน 4 ปี นี้ ท่านจะต้องรีบพัฒนา อบต. ท่าข้าม ให้พัฒนาในเรื่องต่างๆ ให้ได้ ซึ่งเมื่อได้ยินท่านพูดแบบนี้แล้ว ดิฉันก็เกิดความประทับใจในตัวท่านมาก เพราะท่านเป็นคนที่ลุยกับงาน จริงจัง และเป็นผู้นำที่ดีของประชาชน คงเป็นเพราะแบบนี้ จึงทำให้ท่านได้ใจประชาชนไปเต็มๆ จนได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง นายก อบต. ท่าข้าม 3 วาระด้วยกัน จึงทำให้ดิฉันนึกกลับไปว่า ทำมัย อบต. ที่บ้านของดิฉันเอง ถึงไม่พัฒนาเหมือนที่ อบต. ท่าข้ามบ้าง ทั้งๆ ที่ก็อยู่ไม่ห่างไกลกันเลย ถ้า อบต. ที่บ้านของดิฉัน เข้มแข็งให้ได้อย่าง อบต.ท่าข้ามสักครึ่งนึงก็คงจะดีไม่น้อย.....(แหะๆๆ ว่าบ้านเกิดตัวเองซะแว้วววว)
- แง่คิดสุดท้ายที่ท่าน นายก อบต.ท่าข้าม ได้ให้ไว้ ก็คือ ถ้าคณะวิทยาศาสตร์ จะทำให้การจัดการความรู้บังเกิดผล นั้น ทุกคนจะต้องปรับแนวคิดของตัวเอง และเปิดใจยอบรับ ซึ่งคณะวิทยาศาสตร์ ก็ต้องดึงทุกคนให้มามีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่างๆ ให้ได้ เพราะถ้าทุกคนไม่มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม และต่างคิดว่า เป็นการเพิ่มภาระงานให้กับตัวเอง ก็จะทำให้การจัดการความรู้ภายในคณะวิทยาศาสตร์ ไม่บังเกิดผลอย่างแน่นอน...
วก มาเรื่องของดิฉันอีกสักนิดนะคะ สำหรับดิฉันที่วันนี้ได้ทำหน้าที่เป็นพิธีกร ก็รู้สึกว่าตัวเองได้พัฒนาความสามารถในการเป็นพิธีกรขึ้นมาอีกระดับนึงคะ เพราะวันนี้ดิฉันเป็นพิธีกรที่พูดเป็นธรรมชาติมากขึ้น มีการพูดแซวคน Present บ้าง เป็นบางครั้ง จึงทำให้บรรยากาศภายในงานดีขึ้นกว่าเดิม ที่ดิฉันบอกว่าได้พัฒนาความสามารถในการเป็นพิธีกรอีกระดับนึง ก็เพราะ เมื่อก่อนดิฉันเป็นพิธีกรที่พูดได้ฟืดมากคะ ไม่มีมุขขำอะไรเลย ทำให้ไม่มีสีสัน และเป็นพิธีกรที่พูดตาม Script เกือบทุกอย่าง จึงทำให้บรรยากาศดูเคร่งเครียด อึมครึมไป ซึ่งอาจจะเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของดิฉันเองด้วย ที่เป็นคนนิ่งๆ เงียบ ๆ ไม่ค่อยพูด ถ้าไม่สนิทกับใครจริงๆ ก็จะไม่ปล่อยลูกบ้าออกมา ก็เลยทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเป็นพิธีกรที่ดีบ้างเหมือนกันคะ ดังนั้น เมื่อดิฉันได้พัฒนาความสามารถในการเป็นพิธีกรได้ดีขึ้น ก็ทำให้ดิฉันเกิดความภูมิใจในตัวเอง เพราะถึงจะเป็นแค่เรื่องภูมิใจ เรื่องเล็กๆ ก็ตาม แต่ดิฉันก็คิดเสมอว่า คนเราเมื่อทำอะไรแล้วประสบผลสำเร็จ แม้แต่เป็นเรื่องเล็กๆ เราก็ต้องภูมิใจในตัวเองไว้ก่อน เพราะมันจะเป็นการสร้างกำลังใจที่ดีให้กับตัวเอง และเป็นการคิดในแง่บวก(positive thinking)ทำให้เราไม่ท้อถอยเมื่อเจออุปสรรคต่างๆ คะ
ถึง การเป็นพิธีกรของดิฉันในวันนี้จะตะกุกตะกัก , ผิดพลาดไปบ้าง เนื่องจากได้ฝึกซ้อมมาน้อย แต่ดิฉันก็ไม่ซีเรียสอะไรหรอกนะคะ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติของมือใหม่หัดเป็นพิธีกร มันก็ต้องผิดพลาดกันบ้างเป็นธรรมดา ก็เลยอยากจะฝากท่านอื่นไว้นะคะ ที่อาจจะเป็นพิธีกรมือใหม่ ว่า ก่อนวันที่ท่านจะต้องเป็นพิธีกร ท่านต้องฝึกพูดให้คล่อง , กำหนดการต้องแม่น และฝึกยิ้มให้เยอะๆนะคะ เพราะถ้าท่านฝึกพูดไว้เยอะๆ ก็จะทำให้ความผิดพลาดในการเป็นพิธีกรของท่าน มีเปอร์เซ็นต์น้อยลง หรือท่านอาจจะไม่ผิดพลาดเลยก็ได้คะ ส่วนในเรื่องของกำหนดการที่บอกว่าต้องแม่น เนื่องจากจะช่วยให้ท่านลำดับขั้นตอนได้ว่า ต่อไปจะเป็นกิจกรรมอะไร ท่านต้องดำเนินรายการอย่างไร เพราะบางท่านอาจจะตื่นเวทีจนทำให้ลืมขั้นตอนไปได้คะ ส่วนการฝึกยิ้มให้เยอะๆ ก็เพราะจะเป็นการสร้างบรรยากาศภายในงานให้ดีขี้นคะ และยังเป็นแสดงถึงการต้อนรับผู้มาเข้าร่วมงานในทางอ้อมด้วยนะคะ.. สำหรับบันทึกฉบับนี้ ก็ขอฝากไว้แค่นี้ก่อนนะคะ พบกันใหม่ในบันทึกฉบับต่อไปคะ..สวัสดีคะ
เมื่อ ช่วงเช้าของวันที่ 10 มีนาคม 2551 ดิฉันก็มาทำงานตามปกติเหมือนอย่างทุกวัน พอมาถึง ปุ๊บ หัวหน้าของดิฉัน หรือ พี่แป๊ด (ที่ทุกท่านคงรู้จักกันดี) ก็พูดขึ้นปุ๊บว่า "บีวันนี้เป็นพิธีกร ด้วยนะ" ดิฉันก็คิดในใจทันที "ซวยแล้วเรา ยังไม่ได้เตรียมเป็นพิธีกรมาเลย อืม...เมื่อวานก็ลืมถามพี่เค้าด้วยว่าจะให้เราเป็นพิธีกรหรือเปล่า" แต่ก็ได้รับปากพี่เค้าไป เพราะคิดว่ายังงัยเราก็ต้องทำให้ได้ (The Show must go on) หลังจากนั้น ก็เลยรีบหยิบตัวโครงการฯ เพื่อจะร่างคำกล่าวเปิด และก็ฝึกพูดอีกนิดหน่อย เพราะมีเวลาไม่มากนักคะ
ก่อนอื่น ก็ขอเล่าความเป็นมาซักนิดนึงก่อนนะคะ เพื่อให้ทุกท่านไม่งงไปมากกว่านี้ คือ วันที่ 10 มีนาคม 2551 เวลา 13.00 - 16.00 น. เป็นวันที่ คณะวิทยาศาสตร์ ได้กำหนดให้มีเวทีเล่าสู่กันฟังในหัวข้อ " การจัดการความรู้กับการจัดการชุมชน ของ อบต.ท่าข้าม" เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่ได้ไปศึกษาดูงาน ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์จากตัวแทนกลุ่มที่ไม่ได้ไปศึกษาดูงานที่ อบต.ท่าข้าม คะ ซึ่ง ในวันนั้น ทางคณะวิทยาศาสตร์ ก็ได้เชิญท่านนายก อบต.ท่าข้าม มาร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย ซึ่ง ดิฉันรับหน้าที่เป็นพิธีกรในหลักสูตรนี้ (อย่างที่กล่าวไว้ตอนเริ่มต้น)
สำหรับ บรรยากาศของกิจกรรมในวันนั้นก็เป็นไปด้วยความสนุกสนานมาก เพราะตัวแทนของแต่ละกลุ่มที่ได้ไปศึกษาดูงาน ต่าง Present กันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะ กลุ่มที่ 1 ซึ่งตัวแทนภายในกลุ่มจะประกอบด้วย คุณธนทรัพย์ฯ , คุณจีราณีฯ และ คุณจุรีรัตน์ฯ ซึ่งแต่ละคน บอกได้เลยว่าพูดเก่งๆ กันทุกคน โดยเฉพาะคุณธนทรัพย์ฯ คะ ซึ่งทำหน้าที่ เป็นนักประชาสัมพันธ์ ของคณะวิทยาศาสตร์ เป็นคนที่พูดเก่ง และพูดได้เป็นธรรมชาติมาก (อยากพูดเก่งเหมือนพี่เค้ามั่งจัง) ทำให้บรรยากาศภายในงานมีแต่ความสนุกสนาน ในส่วนของท่าน นายก อบต.ท่าข้าม ดิฉันก็ประทับใจท่านเป็นอย่างมาก เพราะท่านได้ให้แง่คิดดีๆ เกี่ยวกับการจัดการความรู้ไว้หลายแง่คิด พอจะสรุปได้ดังนี้นะคะ
- ท่านบอกว่า ที่ อบต. ท่าข้าม นั้น ท่านบริหารงานแบบที่ให้ความสำคัญกับประชาชนทุกคน ทุกคนเสมอภาคต่อกัน และท่านก็เป็นคนทำงานแบบจริงจัง ไม่ใช่ทำงานแบบเรื่อยๆ เช้าชาม เย็นชาม โดยท่านให้เหตุผลว่า นายก อบต. มีวาระการทำงานแค่วาระละ 4 ปี ถ้าทำดีก็อาจจะได้เลือกให้เป็นนายก อบต. ต่อ หรือ ถ้าทำไม่ดีก็อาจจะไม่ได้รับเลือกมารับหน้าที่ต่อไป ดังนั้น ใน 4 ปี นี้ ท่านจะต้องรีบพัฒนา อบต. ท่าข้าม ให้พัฒนาในเรื่องต่างๆ ให้ได้ ซึ่งเมื่อได้ยินท่านพูดแบบนี้แล้ว ดิฉันก็เกิดความประทับใจในตัวท่านมาก เพราะท่านเป็นคนที่ลุยกับงาน จริงจัง และเป็นผู้นำที่ดีของประชาชน คงเป็นเพราะแบบนี้ จึงทำให้ท่านได้ใจประชาชนไปเต็มๆ จนได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง นายก อบต. ท่าข้าม 3 วาระด้วยกัน จึงทำให้ดิฉันนึกกลับไปว่า ทำมัย อบต. ที่บ้านของดิฉันเอง ถึงไม่พัฒนาเหมือนที่ อบต. ท่าข้ามบ้าง ทั้งๆ ที่ก็อยู่ไม่ห่างไกลกันเลย ถ้า อบต. ที่บ้านของดิฉัน เข้มแข็งให้ได้อย่าง อบต.ท่าข้ามสักครึ่งนึงก็คงจะดีไม่น้อย.....(แหะๆๆ ว่าบ้านเกิดตัวเองซะแว้วววว)
- แง่คิดสุดท้ายที่ท่าน นายก อบต.ท่าข้าม ได้ให้ไว้ ก็คือ ถ้าคณะวิทยาศาสตร์ จะทำให้การจัดการความรู้บังเกิดผล นั้น ทุกคนจะต้องปรับแนวคิดของตัวเอง และเปิดใจยอบรับ ซึ่งคณะวิทยาศาสตร์ ก็ต้องดึงทุกคนให้มามีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่างๆ ให้ได้ เพราะถ้าทุกคนไม่มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม และต่างคิดว่า เป็นการเพิ่มภาระงานให้กับตัวเอง ก็จะทำให้การจัดการความรู้ภายในคณะวิทยาศาสตร์ ไม่บังเกิดผลอย่างแน่นอน...
วก มาเรื่องของดิฉันอีกสักนิดนะคะ สำหรับดิฉันที่วันนี้ได้ทำหน้าที่เป็นพิธีกร ก็รู้สึกว่าตัวเองได้พัฒนาความสามารถในการเป็นพิธีกรขึ้นมาอีกระดับนึงคะ เพราะวันนี้ดิฉันเป็นพิธีกรที่พูดเป็นธรรมชาติมากขึ้น มีการพูดแซวคน Present บ้าง เป็นบางครั้ง จึงทำให้บรรยากาศภายในงานดีขึ้นกว่าเดิม ที่ดิฉันบอกว่าได้พัฒนาความสามารถในการเป็นพิธีกรอีกระดับนึง ก็เพราะ เมื่อก่อนดิฉันเป็นพิธีกรที่พูดได้ฟืดมากคะ ไม่มีมุขขำอะไรเลย ทำให้ไม่มีสีสัน และเป็นพิธีกรที่พูดตาม Script เกือบทุกอย่าง จึงทำให้บรรยากาศดูเคร่งเครียด อึมครึมไป ซึ่งอาจจะเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของดิฉันเองด้วย ที่เป็นคนนิ่งๆ เงียบ ๆ ไม่ค่อยพูด ถ้าไม่สนิทกับใครจริงๆ ก็จะไม่ปล่อยลูกบ้าออกมา ก็เลยทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเป็นพิธีกรที่ดีบ้างเหมือนกันคะ ดังนั้น เมื่อดิฉันได้พัฒนาความสามารถในการเป็นพิธีกรได้ดีขึ้น ก็ทำให้ดิฉันเกิดความภูมิใจในตัวเอง เพราะถึงจะเป็นแค่เรื่องภูมิใจ เรื่องเล็กๆ ก็ตาม แต่ดิฉันก็คิดเสมอว่า คนเราเมื่อทำอะไรแล้วประสบผลสำเร็จ แม้แต่เป็นเรื่องเล็กๆ เราก็ต้องภูมิใจในตัวเองไว้ก่อน เพราะมันจะเป็นการสร้างกำลังใจที่ดีให้กับตัวเอง และเป็นการคิดในแง่บวก(positive thinking)ทำให้เราไม่ท้อถอยเมื่อเจออุปสรรคต่างๆ คะ
ถึง การเป็นพิธีกรของดิฉันในวันนี้จะตะกุกตะกัก , ผิดพลาดไปบ้าง เนื่องจากได้ฝึกซ้อมมาน้อย แต่ดิฉันก็ไม่ซีเรียสอะไรหรอกนะคะ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติของมือใหม่หัดเป็นพิธีกร มันก็ต้องผิดพลาดกันบ้างเป็นธรรมดา ก็เลยอยากจะฝากท่านอื่นไว้นะคะ ที่อาจจะเป็นพิธีกรมือใหม่ ว่า ก่อนวันที่ท่านจะต้องเป็นพิธีกร ท่านต้องฝึกพูดให้คล่อง , กำหนดการต้องแม่น และฝึกยิ้มให้เยอะๆนะคะ เพราะถ้าท่านฝึกพูดไว้เยอะๆ ก็จะทำให้ความผิดพลาดในการเป็นพิธีกรของท่าน มีเปอร์เซ็นต์น้อยลง หรือท่านอาจจะไม่ผิดพลาดเลยก็ได้คะ ส่วนในเรื่องของกำหนดการที่บอกว่าต้องแม่น เนื่องจากจะช่วยให้ท่านลำดับขั้นตอนได้ว่า ต่อไปจะเป็นกิจกรรมอะไร ท่านต้องดำเนินรายการอย่างไร เพราะบางท่านอาจจะตื่นเวทีจนทำให้ลืมขั้นตอนไปได้คะ ส่วนการฝึกยิ้มให้เยอะๆ ก็เพราะจะเป็นการสร้างบรรยากาศภายในงานให้ดีขี้นคะ และยังเป็นแสดงถึงการต้อนรับผู้มาเข้าร่วมงานในทางอ้อมด้วยนะคะ.. สำหรับบันทึกฉบับนี้ ก็ขอฝากไว้แค่นี้ก่อนนะคะ พบกันใหม่ในบันทึกฉบับต่อไปคะ..สวัสดีคะ
0 comments:
Post a Comment